ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

จับตา...ภูฏานโมเดล โดย จักรภพ เพ็ญแข


โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ฉบับที่ 39

*******************************************************************************

จับตา...ภูฏานโมเดล

สามปีเศษที่ผ่านมานี้ ไม่ใช่ความเสียเวลาของฝ่ายประชาธิปไตยเลย หากเป็นเวลาที่ขบวนการประชาธิปไตยเติบโตขึ้นทั้งความรู้ที่ทำให้ตาสว่าง รู้จักมองการณ์ไกล และทดสอบขันติธรรมในระดับผู้นำ พร้อมสำหรับการดูแลประเทศชาติ

ส่วนระบอบอำมาตยาธิปไตย นี่คือสามปีแห่งความระส่ำระสาย ถึงยังกอดอำนาจรัฐไว้ได้ แต่ก็สูญเสียบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ไปมากน่าใจหาย จนไม่แน่ใจว่าเมื่อหมด “บุญ” แล้วความสูญเสียจะจำกัดอยู่แค่อำนาจเปลี่ยนมือ หรือถึงขั้นเปลี่ยนแปลงอย่างที่โบราณเรียกว่าพลิกแผ่นดิน

จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ฝ่ายอำมาตย์ต้องมองหาตัวแบบ (model) ใหม่มาเป็นธง ช่วงชิงการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียก่อนที่จะถูกบังคับให้เปลี่ยน ตัวแบบเดิมดูจะไม่ได้ผลอีกต่อไป เพราะขบวนการประชาธิปไตยขณะนี้กล้าแข็งและมีวุฒิภาวะกว่าเมื่อ ร.ศ.๑๓๐ พ.ศ.๒๔๗๕ พ.ศ.๒๕๑๖ พ.ศ.๒๕๑๙ และ พ.ศ.๒๕๓๕ เสมือนสั่งสมความจัดเจนจากทุกครั้งนั้นมาเป็นครั้งนี้

ตัวแบบใหม่นั้น เดิมคิดว่าเขามองไปที่เมียนมาร์ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลัก ๖ ข้อ ได้แก่

๑. การปฏิเสธกลวิธีทางประชาธิปไตยทั้งมวล อ้างความรักในสถาบันหลักของชาติมาปลุกเร้าและสร้างความชอบธรรม

๒. การทำให้คนในชาติเห็นประชาคมระหว่างประเทศเป็นศัตรูผู้มุ่งร้าย และ “เรา” ต้องตั้งป้อมสู้กับ “พวกเขา” หรือ “Us Against Them”

๓. เศรษฐกิจแห่งความ “พอ” หรือการเตรียมสกัดกั้นทุนนิยมภายในชาติหรือข้ามชาติ โดยไม่ให้ใครมาตั้งคำถามได้ว่าชนชั้นปกครองเองรู้จักความ “พอ” นั้นหรือไม่ เพื่อปิดประเทศโดยอ้อม

๔. การจัดสรรผลประโยชน์ในทรัพยากรของชาติเสียใหม่ พันธมิตรใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจที่จะก้าวเข้ามาจะต้องช่วยรักษาอำนาจของผู้ปกครองคณะเก่าด้วย

๕. ผูกพันตนเองกับมหาอำนาจที่อยู่ใกล้ในเชิงภูมิศาสตร์เพื่อคานกับมหาอำนาจที่อยู่ไกลกว่า

๖. ทำให้คู่แข่งทางอำนาจกลายเป็นปิศาจ (demonization) ผู้เลวร้ายทุกอย่าง หากสุดท้ายเลี่ยงไม่พ้นต้องตั้งรัฐบาลรวมชาติ ก็จะเอาภาพลักษณ์เลวทรามที่ตัวป้ายสีไว้นั้นมาใช้ประโยชน์ ลดขนาดให้ฝ่ายตรงข้ามเหลือเล็กและมีอำนาจน้อยที่สุดในคณะปกครองแบบผสมผสานนั้น เรียกวิธีการนี้เรียกว่า marginalization

แต่ปัญหาคือเป็นเมียนมาร์ไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ได้ในทันทีทันควัน เพราะสถาบันหลักของไทยไปเกาะเกี่ยวแนบแน่นอยู่กับระบบทุนนิยม ตักตวงทรัพยากรและโอกาสที่เหนือกว่าคนอื่นในประเทศ และการลงทุนนอกราชอาณาจักรเพื่อกระจายความเสี่ยง การอยู่ใต้อำนาจสหรัฐฯ จนขยับไม่ไหวของชนชั้นปกครองของไทยทำให้หาใครมาคานลำบาก แถมการเร้ากระแสคลั่งชาติและการสร้างภาพลักษณ์เลวร้ายให้กับคู่แข่งเริ่มไม่ได้ผลและกลายเป็นกระสุนด้านขึ้นทุกวัน ทหารที่พึ่งพาอาศัยได้มีเพียงนายพลสอพลอที่ไม่มีความสามารถในการรบและไม่ได้รับความนับถือจากกำลังพล เพราะได้ดีมาด้วยศิลปะการเต้นรำและร้องเพลง ไม่ใช่ฝีมือในการรบ

เมื่อเข็นประเทศไปทางเมียนมาร์ไม่ไหว ตัวแบบของราชอาณาจักรฮินดูเล็กๆ และมีวิถีชีวิตแนวพุทธอย่าง ภูฏาน ก็ดูน่าสนใจขึ้นมา

ระยะหลังๆ คนไทยคงรู้จักราชอาณาจักรภูฏานจากเสน่ห์ของกษัตริย์จิ๊กเม่วังจุก โดยเฉพาะเมื่อเสด็จฯ เยือนไทยในฐานะเจ้าชายมกุฎราชกุมารและยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์เท่านั้น แต่ภูฏานมีอะไรให้เรียนรู้เกินกว่าความฉาบฉวยนั้นมากนัก

อำมาตย์ไทยคงไม่ได้ใส่ใจต่อภาพลักษณ์ “อินเทรนด์” แต่สนใจวิธีการรักษาอำนาจของกษัตริย์ท่ามกลางแรงกดดันจากประเทศใหญ่ใกล้ชิดอย่างเนปาลและจากองค์การสหประชาชาติให้ภูฏานคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ประชาชนเป็นใหญ่มากกว่าที่เป็นอยู่

กษัตริย์ “พ่อ” ขององค์ปัจจุบันสละราชสมบัติก่อนกำหนดในวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙ เพื่อให้ลูกชายได้สืบราชสมบัติแทน เหตุผลที่อ้างในพระราชดำรัสวันสละราชสมบัตินั้นคือ “... ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังคงดำรงตำแหน่งกษัตริย์ มกุฎราชกุมารก็จะขาดประสบการณ์จริงในประเด็นปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองที่จะทำงานในฐานะประมุขแห่งรัฐ ยิ่งเมื่อระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วในภูฏานตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๑ ยิ่งมีภารกิจอีกมากที่จะต้องสานต่อ ...” ไม่นานหลังจากนั้นเจ้าชายจิ๊กเม่ก็ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๕ ของราชวงศ์นี้อย่างสมบูรณ์ เฉลิมพระนามว่า จิ๊กเม่ เคซาร์ นัมกเยล วังจุก

“ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา” ที่อดีตกษัตริย์เอ่ยถึง คือการพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกให้กับภูฏานในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๔๘ ที่ส่งผลให้เกิด “สภาแห่งชาติ” หรือ “National Council” ประกอบด้วยสมาชิกกึ่งเลือกตั้ง ๒๐ คน โดยเก็บสภาที่กษัตริย์แต่งตั้งคือ “รัฐสภา” เอาไว้ด้วย

“ประชาธิปไตย” ในภูฏาน แท้ที่จริงแล้วก็คือกลวิธีรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างหนึ่ง หลังจากที่เห็นสถาบันอย่างเดียวกันถึงกาลอวสานไปแล้วในเนปาลข้างเคียง สาระของกลวิธีนี้ก็คือคำว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ที่เคยใช้กันอย่างแพร่หลายในเมืองไทย โดยเฉพาะในยุคที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยได้รับเลือกตั้งเลย ทั้งนี้ก็เพื่อลดแรงกดดันจากเสียงเรียกร้องให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยอันแท้จริง

พลเอกเปรมฯ เคยรับหน้าที่ “ไม้กันหมา” ในยุคนั้นอย่างไร สมาชิกสภาแห่งชาติ ๒๐ คนใหม่ในภูฏานก็คงจะทำหน้าที่อย่างเดียวกันนั้น จุดประสงค์คือเป็นฉนวนกันมิให้แรงกดดันไปถึงองค์พระมหากษัตริย์ได้

ไม่น่าแปลกใจเลยครับที่แกนนำเสื้อแดงบางคนในวันนี้ยังหมุนวนอยู่กับการก่นด่าพลเอกเปรมฯ ทั้งที่ด่าซ้ำซากมาแล้วกว่า ๓ ปี จน พลเอกทรงกิตติ จักร์กาบาตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกมาร่วมรำวงกับเขาด้วยว่า “ป๋าไม่เกี่ยว”

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้พลเอกเปรมฯ เป็นฉนวนกันมิให้เสื้อแดงด้วยกันที่ “ตาสว่าง” แล้วออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยแท้จริง โดยไม่ยอมถูกหลอกให้เพลินอยู่กับการเลือกตั้งภายใต้ระบอบอำมาตย์

“ฉนวน” นี้มีไว้เพื่อมิให้ไฟฟ้าลัดวงจรจนเสียไปทั้งระบอบอำมาตยาธิปไตยได้ ทั้งที่อุปสรรคขัดขวางประชาธิปไตยอันแม้จริงอยู่ตรงนั้น คนที่ร่วมกันฟัดตะลุมบอนอยู่กับ “ฉนวน” น่าจะรู้ว่าเล่นเกมเบี่ยงเบนความสนใจออกไปจากอะไรและเพื่อใคร เพราะผมรู้ว่าเขาไม่โง่หรอกครับ

การเล่นงานอยู่แต่ เปรม ติณสูลานนท์ โดยไม่ดูภาพรวม เท่ากับนำโมเดลของภูฏานมาใช้ในเมืองไทยแล้วในขณะนี้ เพราะความต้องการเร่งด่วนคือการลดความกดดันต่อแกนกลางของระบอบอำมาตย์ โดยไม่ให้ประชาธิปไตยแท้จริงเกิดขึ้นได้

ส่วนคำสั่งนี้มาจากใคร ผ่านใคร และสั่งอย่างไร ค่อยนำมาคุยให้ครึกครื้นกันสักวัน
ไอ้ที่เอา GH (Gross Happiness) หรือดรรชนีวัดมวลรวมแห่งความสุข (ในประเทศ) ของภูฏานมาใช้อย่างเท่ ก็มิใช่เหตุบังเอิญ เพราะต้องสร้างภาพลักษณ์ของภูฏานให้สวยงามในทัศนะของคนไทยเสียก่อน

คำสั่งลึกลับคือ ให้ยึดตัวแบบภูฏาน แล้วค่อยๆ กลายเป็นเมียนมาร์เมื่อเงื่อนไขเอื้ออำนวยครับ.

---------------------------------------------------------------------------------

TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

ยึดทรัพย์-รับของโจร โดย จักรภพ เพ็ญแข


โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 39
********************************************************************************
ยึดทรัพย์-รับของโจร

ยึดเอ๋ย ยึดทรัพย์
คำตัดสินสับปลับจากพวกปล้น
แม้นจะส่งคืนทรัพย์ก็อับจน
ผิดตั้งแต่คราวปล้นที่ต้นทาง

เจ็ดหมื่นหกพันล้านย่อมหวานหมู
ก็ประเทศของกูกูจะกร่าง
อวดเศรษฐีแข่งขันจะกั้นทาง
กูจึงวางเครือข่ายทำลายลง

กูไม่ได้อนุญาตให้มึงรวย
แอบรวยเองก็สวยจะสาปส่ง
แผ่นดินนี้มีแต่กูผู้ดำรง
กูจะทรงแม้จะทรุดสวนพุทธธรรม

น่าอนาถอำมาตย์ใหญ่ช่างใจแคบ
คิดว่าคนเขากินแกลบยังอยู่ถ้ำ
อ้างกฎหมายขนาดไหนก็ใจดำ
แผ่อำนาจครอบงำอำพรางไทย

กลัวประชาธิปไตยจะไล่ที่
กลัวจะหนีไม่พ้นต้องปนไพร่
กลัวคนรู้ความจริงประจักษ์ใจ
กลัวมารยาสาไถยจะไม่ทน

อันธพาลหลายชนิดประชิดรบ
พอตั้งครบสี่เสาก็เข้าปล้น
เริ่มจาก “ศาล” ถึง “ทหาร” สู่ “พาลชน”
สุดท้ายปล้นเสียด้วย “สื่อ” ถือหลักการ

อนิจจา...เมืองไทยดั่งไร้ญาติ
เสมือนคนดวงขาดน่าสงสาร
เงินทองใช่น้ำหนักแต่หลักการ
เหมือนประหารคุณธรรมเคยนำไทย

แต่เคราะห์ดีที่อำมาตย์วาดภาพชัด
ผ่านเหล่าสื่อมวลสัตว์เลิกสงสัย
ทั้งยึดทรัพย์-รัฐประหารผลงานใคร
อำนาจใหญ่จริงเท่านั้นบัญชาการ

พวกนายทุนน้อยใหญ่รับใช้เขา
ไม่นานจักซึมเศร้าเขาล้างผลาญ
ต่างค่าต๋งในแผ่นดินต้องกินนาน
ใครสำราญเริงใจให้ระวัง

รัฐประหารยังไม่จบต้องตบทรัพย์
จนชาติเข้ามุมอับกลับหลังหัน
ป่าวประกาศอำนาจกูกูยืนยัน
อย่านึกฝันว่าจะได้ไทยเสรี

มัวเสียดายเงินทองที่กองอยู่
จนหยุดสู้เพื่อไทยนั้นใช่ที่
จงยึดเอาเหตุการณ์ในวันนี้
เป็นไฟชี้ฉายส่องมองเส้นทาง

สู้กับโจรต้องเข้าใจใจโจรคิด
ถึงเนื้อในเราบัณฑิตต้องคิดต่าง
ถึงเลือกตั้งชนะใสไม่มีทาง
เพราะเขาวางกติกาไว้ฆ่าเรา

ต้องจัดตั้งมวลชนยกพลรบ
ทุกสาขามีครบไว้รบเขา
ถึงเราไม่รุนแรงถ้าแกล้งเรา
ก็เชิญธงขึ้นเสาเข้าโรมรัน

เมื่อยึดทรัพย์เขาก็รับกับชาวโลก
เอาธงโบกว่านี่ฝีมือท่าน
ความประเสริฐเลิศหล้าคงจาบัลย์
หลักฐานชี้มั่นไทยใต้โจรเอย.

-------------------------------------------------------------------------------

คำต่อคำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร : เกร็ดชีวิต ตอนที่ 5



โดย : พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ที่มา : ทอล์ค อะราวด์ เดอะ เวิลด์ # 26
เรียบเรียงจากการออกอากาศวันพฤหัสบดีที่ 11 ก.พ. 53

*******************************************************************************

ตอนที่ 5

สวัสดีครับ วันนี้พบกันเช่นเดิม วันนี้จะเล่าต่อในช่วงชีวิตผมพักการเมือง หลังจากที่ได้ลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังธรรม ในปี 39 พ้นจากตำแหน่งรองนายกฯ ของคุณบรรหารฯ คุณบรรหารฯ ยุบสภา มีการเลือกตั้งใหม่ ผมมีช่วงพักการเมืองอยู่ 2-3 ช่วง

ช่วงแรก คือ ลาออกจากรัฐมนตรีต่างประเทศ และยังไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ว่างอยู่ 4 เดือน หลังจากนั้นก็ไปเป็นรองนายกฯ อยู่ประมาณ 1 ปีกับคุณบรรหาร หลังจากนั้นก็เป็นส.ส.ฝ่ายค้านอยู่พักหนึ่ง จนมาถึงคุณบรรหารฯ ยุบสภา ช่วงนั้นก็ไม่ลงเลือกตั้ง ว่างอีกระยะหนึ่ง จนท่านชวลิตฯ เรียกไปเป็นรองนายกฯ อยู่ 3 เดือน (ส.ค.-ต.ค.) หลังจากนั้นก็ว่างต่อจนถึงเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย

เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ตอนที่ผมว่างจากการเมือง

ผมรู้จักสนธิ ลิ้มทองกุล ตอนไหน?

ผมเจอคุณสนธิครั้งแรกที่บ้านของคุณไชยทัศน์ เตชะไพบูลย์ หรือที่เรียกว่า “โป๊ยเสี่ย” ซึ่งเป็นลูกของคุณอุเทนฯ ประธานของมหานครทรัส (ผู้เคยกู้เงินจากมหานครทรัสมาซื้อตึกแถวที่ราชวัตร) ผมเป็นลูกหนี้เขา เข้าใจว่าคุณสนธิก็คงเป็นลูกหนี้เขาเหมือนกัน มีการแนะนำให้รู้จักกัน ตอนนั้นคุณสนธิทำหนังสือผู้จัดการ เป็นเล่มเล็กๆ คล้ายๆ พ็อกเก็ตบุ๊คส์ เลยรู้จักกันแต่ก็ไม่ได้ติดต่อกัน

มาอีกทีหนึ่ง ผมมาทำธุรกิจแล้ว คุณสนธิก็ขอให้ไปลงโฆษณาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการบ้าง มารู้จักมากหน่อยก็ตอนที่บริษัท IEC คือบริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทย ปูนฯ ปรับโครงสร้างของตัวเองเลยขายบริษัทที่ไม่เกี่ยวกับสายธุรกิจหลักของตัวเอง หนึ่งในบริษัทที่จะขายออกก็คือ IEC คุณสนธิก็รวบรวมคนที่เป็นผู้บริหารภายใน เพื่อทำฝ่ายจัดการขอซื้อออก ระหว่างที่คุณสนธิเจรจาอยู่ก็บอกผมว่าอย่าไปยุ่ง อย่าไปเจรจา แล้วยังไงมาถือหุ้นร่วมกัน

ในที่สุดคุณสนธิก็ให้ผมถือหุ้นร่วม 10% สาเหตุเพราะตอนนั้นผมทำโทรศัพท์มือถือ AIS แล้ว และ IEC เป็นตัวแทนขายโทรศัพท์มือถือโนเกีย เพราะเขาต้องมาขายเข้าในเน็ตเวิร์คของ AIS ถือว่าเป็นการพึ่งพาซึ่งกันและกัน เขาก็เอาหุ้นมาขายและให้ผมถือหุ้น 10% แล้วก็เอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์มีกำไร ในที่สุดผมก็ขายหุ้นทิ้ง ก็รู้จักกันตอนนั้น เพราะต้องนั่งร่วมประชุมกัน เป็นกรรมการกัน

หนึ่งในกรรมการตอนนั้นก็มี คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มานั่งเป็นกรรมการด้วย พักหนึ่งผมก็ขายหุ้นหมดไป หลังจากนั้นคุณสมคิดก็มากินเงินเดือนเป็นที่ปรึกษาบริษัท ชินฯ นี่เป็นที่มา

ตอนนั้นผมทำ IBC คุณสนธิทำผู้จัดการรายวัน ผมเลยมาทำการตลาดประเภทลดแลกแจกแถม ตอนนั้นยังไม่เข้าการเมือง ผมคิดว่าถ้าใครเป็นสมาชิก IBC ผมจะแถมหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันให้ คุณสนธิก็ขายสมาชิกแบบเหมาให้ IBC ถูกหน่อย เพราะ IBC ก็จะช่วยทำการตลาดให้หนังสือผู้จัดการแพร่ไป เราก็มาขายให้กับผู้บอกรับสมาชิกของ IBC เคเบิ้ลทีวีในวันนี้ ซึ่งวันนี้กลายเป็น UBC

แต่ตอนที่เป็น IBC นั้น ผมกับคุณสนธิก็มาทำธุรกิจ ช่วยซึ่งกันและกัน เขาขายให้ผมถูกกว่าราคาท้องตลาด ผมก็เอาของเขาไปแจก จึงทำให้นสพ.ผู้จัดการเป็นที่แพร่หลาย นี่คือความสัมพันธ์เชิงธุรกิจ ไม่มีปัญหาอะไร

คุณทนง พิทยะ เป็นใคร?

คุณท้อง เป็นคนอยู่แบงก์ทหารไทย ไปช่วยคุณสนธิอยู่พักหนึ่งตอนที่ออกจากแบงก์ทหารไทย ตอนหลังก็มาช่วยบริษัทผม มาเป็นรองผม คนเคยทำงานร่วมกันทั้งนั้นครับ รู้มือกันว่าคนไหนทำงานดีไม่ดีอย่างไร เลยชวนกันมาทำงานต่อตอนเข้าการเมือง เพื่อจะได้ทำงานให้เป็นประโยชน์และเข้าขากัน

ในช่วงที่พักงานการเมืองไปชั่วขณะหนึ่ง ตอนที่ผมออกจากรัฐมนตรีต่างประเทศแล้ว ช่วงนั้นก็มีการประชุมผู้บริหารของกลุ่มชินฯ ปรากฏว่าช่วงนั้นกลุ่มชินฯ ไปเอาข้าราชการบ้าง คนที่อยู่ในรัฐวิสาหกิจบ้าง มาทำงานอยู่หลายคน

พอผมออกมาอยู่การเมืองพักหนึ่งก็ปรากฏว่ามีการเอาระเบียบของราชการมาใช้กับธุรกิจ เพราะตัวผู้บริหารมาจากราชการหลายคน ความที่ผมอยากจะเข้าการเมืองก็ไปดึงคนมาช่วย เขาก็เอาระเบียบข้าราชการมาใช้กับบริษัท

พอผมพักการเมือง ผู้บริหารก็มาบ่นว่าทำไมบริษัทเราเดินช้า งานก็ไม่ค่อยเดิน ปรากฏว่าคนไม่จัดสินใจ นี่คือกติกาของระบบราชการ ทุกอย่างมีระเบียบ ต้องผ่านขั้นตอนยาวเหยียด ต้องอนุมัติเป็นชั้นๆ ข้างล่างเห็นผู้ใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจข้างล่างก็ไม่กล้าตัดสินใจ เวลามีเรื่องอะไรก็เสนอเพื่อโปรดพิจารณาๆ มาเป็นชั้นๆ สมมุติว่ามี 5 ชั้นก็เลยไม่รู้ว่าจ้างมาทำไมอีกตั้ง 4 คน เพราะคนตัดสินใจคือคนที่ 5 นั่นคือสิ่งที่เป็นปัญหาของระบบราชการ

ผมฟังดูก็บอกว่าขอไปบรรยาย เชิญประชุมตั้งแต่ระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไปจนถึงผู้จัดการฝ่าย ประมาณ 500 คน ผมบรรยายถึงเรื่ององค์กรในอนาคต ซึ่งสมัยนั้นเป็นองค์กรเครือข่าย ไม่ใช่องค์กรแบบขึ้นสายตรงอย่างนี้ คนเดียวรายงานหลายสาย แต่ละสายก็เชื่อมโยงกันไปเชื่อมโยงกันมาเป็นองค์กรแบบ Networking Organization ผมเลยบอกว่าถ้าองค์กรแบบนี้ การตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ระดับล่างมีความสำคัญสูง นั่นคือไปอ่านหนังสือของ บิลล์เกต เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ

บิลล์เกต บอกว่าต้องให้คนงานมีความรู้ ตัดสินใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นคนที่ตัดสินใจได้ในระดับหนึ่งระเบียบข้าราชการใช้ไม่ได้เลย ระเบียบมันเยอะมาก ตอนผมออกจากบริษัทไประเบียบจากบางๆ เพิ่มขึ้นมาหนาเป็นปึก คนไม่ต้องทำอะไรเลย ทุกอย่างเป็นระเบียบ เพราะผมมีคนที่ขยันมาก เขียนระเบียบทุกวัน ปรากฏไม่เวิร์ค ผมเลยต้องบอกว่าถ้าใครสามารถฝ่าฝืนระเบียบบริษัทแล้วพิสูจน์ได้ว่าการฝ่าฝืนนั้นเป็นผลดีต่อบริษัท ควรจะต้องให้รางวัลคนนั้น

ฝ่ายบริหารเมื่อฟังเสร็จก็ไปตั้งรางวัล ปรากฏว่าตอนหลังระเบียบบริษัทจากหนาๆ ลดลงมาเหลือนิดเดียว งานก็คล่องเหมือนเดิม หลักคือต้องมีระบบมีไกด์ไลน์จริง แต่ไม่ใช่มีระเบียบยาวเหยียด พูดมายาวเพื่อจะบอกว่าต้องมีการปรับปรุงหลักการบริหารตลอดเวลา

อีกเรื่องที่อยากเล่าให้ฟังก็คือ ตอนช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ช่วงทีมีการลดค่าเงินบาท ตอนนั้นผมยังไม่ได้ตั้งพรรคการเมือง ยังไม่ได้เป็นรองนายกฯ ของพล.อ.ชวลิตฯ ทางผู้บริหารก็ปรึกษาผมว่าบริษัทก็ลำบากเหมือนกัน เศรษฐกิจอย่างนี้จะทำยังไงดี ผมเลยบอกว่าให้ไปนั่งวิเคราะห์กัน เอาวิชาที่เรียกว่า บอสตันโมเดล คือบริษัทที่บอสตัน คอนเซ้าท์ติ้งกรุ๊ปเป็นคนคิดทฤษฎีนี้ขึ้นมา ว่าธุรกิจทุกธุรกิจแยกเป็น 4 ประเภท

ประเภทที่ 1 เรียกว่า แคชคาว หมายความว่าเป็นวัวที่ผลิตนมให้ นั่นคือธุรกิจที่มีกำไรและไม่ต้องลงทุนเพิ่ม หรือลงทุนเพิ่มเล็กน้อยมากแต่มีกำไร มีเม็ดเงินเหลือออกมาตลอดเวลา เรียกว่า “วัวนม”

ประเภทที่ 2 เรียกว่า Star แปลว่าดาวรุ่ง ในทางบัญชีมีกำไรแต่ยังต้องใส่เงินเข้าไปเรื่อยๆ เพราะต้องขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ประเภทที่ 3 เป็นธุรกิจที่ขาดทุนและต้องเติมเงินอยู่เรื่อยๆ เรียกว่าเป็น Dog คือหมายความว่าเอามากินก็ไม่ได้แต่เปลืองเหลือเกิน

ประเภทที่ 4 คือธุรกิจที่สร้างขึ้นใหม่แต่ยังไม่ทันไปไหน ไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อย เรียกว่า Baby

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่นักธุรกิจทั้งหลายที่มีธุรกิจหลายอย่างหลายประเภทต้องมานั่งคิด ว่า วันนี้ตัวไหนที่เป็น cash cow หรือเป็นตัวที่มีกำไรแล้วไม่ต้องลงทุนเพิ่มหรือลงทุนแต่น้อยให้เก็บรักษาไว้ให้ดี ธุรกิจที่ 2 เป็นธุรกิจที่มีกำไรแต่ยังต้องเติมลงไปอีก คือ Star ก็เก็บไว้ แต่ธุรกิจประเภทที่ 3 ที่เรียกว่า Dog คือขาดทุนตลอดเวลาแล้วยังต้องเติมเงินเข้าไปเรื่อย ให้ขายทิ้งเสียหรือปิดกิจการเสีย เพราะมันจะได้ไม่เลือดไหลออกตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่ต้องทำอย่างยิ่งในเวลานี้ อีกอันหนึ่ง Baby ในยามที่เงินทองหายาก เศรษฐกิจยังไม่ดีอย่าเพิ่งเริ่มธุรกิจใหม่ ให้หยุดไว้ก่อน

ที่พูดอย่างนี้เพื่อจะบอกนักธุรกิจว่าในวันที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ กลุ่มชินฯ มีธุรกิจหลายอย่างเหลือเกิน เราก็มามองว่าอันไหนเป็นอะไรแล้วจัดการ อย่าง IBC วันนั้นทั้งขาดทุน ทั้งต้องใส่เงินด้วย ในวันนั้นถือว่าเป็นหุ้นที่ไม่ดี ผมจึงต้องมีการขายหุ้นออก ในวันนั้นถามว่าธุรกิจที่สร้างใหม่มีไหม? มี แล้วถามว่าหยุดได้ไหม? หยุดได้ก็หยุด จึงทำให้กลุ่มชินฯ มีเงินสดพอเพียง แล้วถามว่าตอนนั้นกลุ่มชินฯ ขาดทุนค่าเงินบาทไหม ขาดทุนครับ ประมาณ 4,000 พันล้าน แต่คนอื่นเขาขาดทุนกันเป็นหมื่นๆ ล้าน ถามว่าขาดทุนน้อยเพราะอะไร เพราะเรากู้เงินต่างประเทศน้อย ถามว่ากำไรไหม? ไม่กำไรหรอกครับ เพราะไม่ได้เก็งกำไรเลย เพียงแต่กู้น้อยเพราะไม่อยากเสี่ยง วันนั้นตัวเลขก็สอนอยู่แล้วว่าขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 8.1% อยู่ยาก เพราะค่าเงินอย่างนั้นเราต้องปรับค่าเงินแล้ว แต่ค่าเงินของเรามีแบรนด์น้อย

ตอนที่ผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นกรรมการทุนรักษาระดับแบงก์ชาติโดยตำแหน่ง ผมเคยเตือนกระทรวงการคลังว่า ต้องเปิดแบรนด์ หมายความว่าค่าเงินต้องขยับได้ ไม่ใช่เราเอาบาทไปผูกไว้กับดอลลาร์ แต่ดอกเบี้ยของเราสูงกว่าดอลลาร์เยอะแยะ คนก็จะกู้ดอลลาร์เอามาฝากกับเรา เพราะความเสี่ยงไม่ดี เพราะฉะนั้นเราก็เอาแบรนด์ให้ห่างหน่อย หมายถึงให้ขึ้นลงเยอะหน่อย อัตราเสี่ยงจะลดลง ผมยังไปเตือนแบงก์ชาติในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศตอนนั้น ว่าอย่าผูกบาทไว้กับดอลลาร์มากเกินไป ถ้าทำอย่างนั้นคนจะกู้เงินจากต่างประเทศมาฝากในเมืองไทย แล้ววันนั้นเรากำลังเร่งให้ BIBF กู้เงิน คนเลยกู้มาฝากเยอะ ไม่เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจ จึงเกิดการเก็งกำไร เขาก็เก็งค่าเงิน โซลอสเห็นช่องจึงตีเอา

นี่คือสิ่งที่ผมเห็นตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เตือนแล้วเขาไม่ฟัง แล้วตอนที่ผมกลับมาเป็นรองนายกฯ ของคุณบรรหารก็เตือนอีกว่าเอาบาทไปผูกกับดอลลาร์แล้วดอกเบี้ยสูง อันตรายนะ รีบแก้เสียนะ ก็ให้รู้ว่าคนที่มีความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องค่าเงิน เรื่องการเงินระหว่างประเทศ พอเห็นตัวเลขจะเดาได้หมดครับ นี่ก็เป็นจุดที่ผมพยายามเตือนมาตลอดเวลา

วันนั้นก็เลยทำให้กลุ่มชินฯ ขาดทุนไปน้อยหน่อย ทำให้กลุ่มชินฯ แข็งและมีเงินสดเหลืออยู่ในมือเยอะที่สุด ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นธนาคารที่กลุ่มชินฯ ใช้บริการอยู่ก็รู้ว่ากลุ่มชินฯ มีสตางค์เหลือเยอะ ตอนนั้น ITV มีปัญหา เนื่องจาก ITV เป็นการประมูลช่วงที่คุณอานันท์ฯ เป็นนายกฯ แล้วมีกติกากำหนดไว้ว่าให้ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งถือได้ไม่เกิน 10% แล้วก็เข้าไปนั่งบริหารโดยที่วันนั้นก็มีการลงทุนหลายฝ่าย มีทั้งไทยพาณิชย์ และกลุ่มเนชั่นเข้าไปถือหุ้น กลุ่มเนชั่นถือหุ้น 10% แต่เป็นคนบริหารจัดการทั้งหมด ซึ่งก็ไม่มีใครติดใจอะไร แต่บังเอิญไปเป็นหนี้อยู่ที่แบงก์ไทยพาณิชย์อยู่ตั้งเกือบ 4,000 ล้าน แบงก์ไทยพาณิชย์ก็กำลังเป๋จากการที่มีปัญหาเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ จึงมาขอร้องกลุ่มชินฯ ว่าช่วยไปซื้อ ITV หน่อย ตอนนั้นคุณบุญคลีฯ ก็มองว่าอยากจะช่วยแบงก์ เพราะแบงก์เขาช่วยเรา

ผมก็บอกว่าถ้าจะไปซื้อต้องระวังเพราะปัญหาเยอะ เพราะเนื่องจาก ทางเนชั่นไม่รู้เขาจะคิดยังไง เรื่อง 10% จะทำยังไง ต้องให้ครม.ไปยกเลิกข้อนี้ ตอนนั้นคุณชวนฯ เป็นนายกฯ ไทยพาณิชย์ก็ไปขอให้คุณธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ไปพูดกับครม. ให้ยกเลิกเรื่อง 10% ให้เป็นถือหุ้นเท่าไหร่ก็ได้ เพราะต้องขอให้คนมีตังค์เข้ามาซื้อ เพื่อแบงก์จะได้ไม่มีปัญหา เพราะแบงก์เป็นเจ้าหนี้ถึง 3,000 กว่าล้านและเป๋ๆ อยู่ ทางกลุ่มชินฯ ก็เข้าไปช่วยซื้อ ผมเลยโดนโจมตีว่ามีสื่อเอง เพราะตอนนั้นกำลังจะตั้งพรรคไทยรักไทย ทั้งๆ ที่ตอนมีสื่อเองนี่แหละ สื่อ ITV คือตัวที่ตีพรรคไทยรักไทยมากที่สุด

สุดท้ายก็ไปขัดใจเนชั่น ซึ่งลงทุน 10% แต่ได้บริหาร ในที่สุดก็เป็นที่มาของการยึด ITV และวันนี้เนชั่นก็ไปบริหารโดยไม่ต้องลงทุนและใช้เงินหลวงอีกต่างหาก เปลี่ยนเป็น T PBS นี่คือเรื่องของผลประโยชน์ในประเทศไทย

ผมสร้างศัตรูโดยไม่ได้มีเจตนาสร้างเลย มีแต่เจตนาดีๆ ทั้งนั้น เห็นว่าแบงก์อยากให้ช่วยก็ไปช่วย เสร็จก็เลยมีศัตรูโดยไม่รู้ตัว

คุณจำลองขอให้ไปเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์เพราะเราถนัดเรื่องการต่างประเทศ เลยไปเป็นศัตรูกับคุณประสงค์ฯ โดยไม่รู้ตัว

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเมืองและการที่เติบโตมาแบบนี้

อีกช่วงหนึ่งที่ผมเว้นว่างการเมือง เป็นช่วงที่ผมลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังธรรมแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าไปเป็นรองนายกฯ ให้พล.อ.ชวลิตฯ ผมมีความรู้สึกว่าติดหนี้คุณภูมิธรรม คุณอำนวยชัย คุณเกรียงกมล ทั้ง 3 คนบังเอิญมาช่วยผมคิด ช่วยวิเคราะห์การเมือง ช่วยเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองสมัยเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม แต่ไม่มีเวลาที่จะคุยหรือเฮฮากันเพราะมีแต่งาน

พอผมว่างงานก็ได้รับเชิญให้ไปดูงานบริษัท อิริคสัน ที่สวีเดน กับบริษัทโนเกียที่ฟินแลนด์ เลยชวน 3 คนนี้ไปเที่ยวด้วย ระหว่างไปก็เฮฮากันอย่างเดียวครับ ไม่มีอะไร ไปกินอาหาร กินสเต็ก ไปดูงาน นั่งฟังเขาพูดเรื่องเทคโนโลยี ฟังเสร็จเขาก็ไปเลี้ยงข้าว เลี้ยงไวน์ เสร็จแล้วก็ไปฟินแลนด์ก็ไปเล่นสโนว์โมบายด์ เหมือนสกู๊ดเตอร์ในทะเลแต่วิ่งบนหิมะ แต่งชุดหมีหนาๆ เล่นกันสนุกสนาน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย อยู่มาไม่นาน พอมาเป็นนายกฯ สักพัก นายปราโมทย์ นาครทัพ ที่ไปร่วมประชุมบ้านนายปรีด์ มาลากุล พร้อมกับสุรยุทธ์ ที่ไปวางแผนจะจัดการผม พล.อ.พัลลภฯ ไปด้วย

นายปราโมทย์ ก็กุเรื่องขึ้นมาว่าผมไปทำปฏิญญาฟินแลนด์เพื่อจะล้มสถาบัน มันปั้นน้ำเป็นตัว เราตกใจ เพราะไปฟินแลนด์ไม่มีอะไรเลย ไปพักเฮฮา ไปพักผ่อน กลับมากลายเป็นมีปฏิญญาฟินแลนด์ เข้าใจว่าผมไปตั้งแต่ 2540 กลับมาไม่มีอะไรโผล่ มาโผล่เอาปี 2548 จู่ๆ ก็มีปฏิญญาฟินแลนด์จะล้มสถาบันฯ ผมฟ้อง ศาลลงโทษหรือรอลงอาญา เป็นอะไรที่เขากล้าปั้นน้ำเป็นตัว แล้วกระบวนการบางทีก็พึ่งยากในการที่จะไปฟ้องร้อง เวลานี้มันแบ่งกันหมด เป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง บ้านเมืองน่าห่วงตรงนี้ แบ่งกันไปแบ่งกันมา สุดท้ายบ้านเมืองจะอยู่ยังไง

ถามว่าผมเป็นคนพูดยากไหม? ผมเป็นหนูตัวเดียวที่เขาเผาบ้านเพื่อไล่จับ ความจริงไม่มีอะไรเลย หนูตัวนี้คุยรู้เรื่องแต่ไม่คุย ยอมเผาบ้าน ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ผมก็เสียดายบ้านแม้ว่าผมจะเป็นส่วนน้อยนิดในบ้าน เสร็จแล้วก็เผาผมไม่ได้อยู่ดี เพียงแต่ผมต้องหลบไปนอนในโพรงไม้บ้างอะไรบ้าง นี่คือสิ่งที่ร่วมกันเป็นแก็งค์ เพื่อจะจัดการโดยไม่มีคุณธรรม ไม่มีกติกา ยอมทำลายทุกระบบ ผลสุดท้ายที่บอกว่าปกป้องสถาบัน รักเจ้านายก็เสียหายพระองค์ท่านหมด เสื่อมหมด

จริงๆ แล้วทุกคนรักเจ้านาย รักพระเจ้าอยู่หัวทุกคน ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รักพระเจ้าอยู่หัว พวกนี้กำลังพยายามที่จะสร้างความดีความชอบให้กับตัวเองในทางที่ผิด เล่าให้ฟังว่ามันโกหกกันอย่างนี้

อีกเรื่องหนึ่งผมไปเที่ยวอินเดีย ปรากฏว่าไปเจอหมอดูซึ่งเคยดูผมที่เมืองไทย เป็นหมอโยคี วันนั้นก็ไปดูหมอกัน มีผม คุณสุชาติ ตันเจริญ คุณสมคิด คุณเนวิน คุณธานี ตอนนั้นผมลาออกจากรัฐมนตรีต่างประเทศใหม่ๆ แกบอกผมว่าผมจะต้องกลับเข้าการเมืองอีกและจะได้เป็นนายกฯ แต่ต้องรอนิดหนึ่ง ต้องเป็นรองนายกฯ ก่อน หลังจากนั้นเลือกตั้งเสร็จผมก็เป็นรองนายกฯ จริงๆ แล้วก็ทายคุณสมคิดว่าจะเดินเข้ากระทรวงการคลังแต่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี แต่เป็นเลขาฯ คุณทนง ทายคุณสุชาติและคุณเนวินว่าจะได้เป็นรัฐมนตรี ทั้ง 2 คนก็ได้เป็นรัฐมนตรีสมัยคุณบรรหาร ทายคุณธานีว่าจะสอบตก คุณธานีก็สอบตก ทายแม่นมาก

บังเอิญผมไปอินเดียอีกรอบหนึ่ง ตอนที่พ้นจากหัวหน้าพรรคพลังธรรม ปรากฏว่าไปเจอหมอดูคนนี้ ทูตวิชัยฯ พาไป เข้าใจว่าทูตเป็นเพื่อนกับ ดร.โกร่ง ก็พาดร.โกร่งไปตอนหลังที่ผมไปแล้ว มารู้ตอนหลังจากดร.โกร่ง หมอดูคนนี้ก็ทายว่าผมจะกลับไปเป็นรองนายกฯ อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็บอกดร.โกร่งว่า ดร.โกร่งก็จะไปเป็นรองนายกฯ ทุกคนก็ไม่รู้เรื่อง แต่ตอนหลังทั้งผมและดร.โกร่งกลายเป็นรองนายกฯ สมัยพล.อ.ชวลิตฯ ด้วยกันทั้งคู่

เล่าเกร็ดให้ฟังครับ ให้รู้ว่าผมผ่านช่วงธุรกิจมาและหลังจากนั้นก็มาเข้าการเมือง เลยมีลูกติดพันของทั้งมิตรและศัตรูมาพร้อมๆ กัน จนเป็นที่มาของการรวมตัวรุมอัดผมในวันนี้

ตอนที่พล.อ.ชวลิตฯ เป็นนายกฯ ปลายปี 39 ต่อ 40 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมว่างเว้นจากการเมือง พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ ตอนนั้นชวนผมไปกินข้าวบ่อย ท่านก็พยายามชวนผมว่าอยากให้เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ผมคิดอยู่นานครับว่าการเอาลูกเขามาเลี้ยงเอาเมี่ยงเขามาอม บางทีมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ตอนเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมก็เข็ดไปรอบหนึ่งแล้ว ไม่สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพรรคได้เลย เพราะมีแกนจัดตั้ง คนสายวัดเต็มไปหมด ทำอะไรก็ไม่ได้

พอมาถึงพล.อ.ชาติชายฯ ชวนเข้าพรรคชาติพัฒนาให้ไปเป็นหัวหน้าพรรคที่ตั้งแล้ว ผมก็คิดแล้วคิดอีก ไม่เอาดีกว่า ปฏิเสธท่านไป จนท่านป่วยไปรักษาตัวที่ลอนดอน ปรากฏว่าคืนก่อนที่ท่านจะเข้าโรงพยาบาลก็ยังดื่มบรั่นดี สูบซิก้าร์ แล้วก็คุยกันกับคนใกล้ชิดของท่าน หนึ่งในนั้นก็คือลูกชายท่าน คือนายไกรศักดิ์ฯ ที่ไม่รู้จงเกลียดจงชังอะไรผมนักหนา

ท่านบอกกับนายไกรศักดิ์ว่าอย่าลืมไปชวนผมมาเป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ผมไปถึงลอนดอนรู้ข่าวท่านก็จะไปเยี่ยมท่าน นายไกรศักดิ์ฯ รู้ว่าผมมาก็วิ่งมาที่อพาร์ตเม้นต์ที่ผมเช่าอยู่ และบอกว่า ว่าไง พ่ออยากให้เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา คุยเรื่องนี้ก่อน ผมบอกไปเยี่ยมพ่อก่อนซิ ท่านไม่สบาย ผมอยากไปเยี่ยมท่านก่อน เรื่องการเมืองพูดทีหลัง คุณไกรศักดิ์ฯ ก็พยายามจะหาคำตอบจากผมให้ได้ ผมไปเยี่ยมท่าน ปรากฏว่าอยู่ในไอซียู ไม่ค่อยรู้ตัวแล้ว หลังจากนั้นท่านก็เสียชีวิตไป

นี่คือความสัมพันธ์ที่ผมมีอยู่กับคนเหล่านี้ หลังจากที่ท่านชาติชายฯ เสียชีวิต ผมไปร่วมงานศพก็เจอกับคุณไกรศักดิ์ เข้าใจว่าไปโกรธผมตอนที่เป็นประธานกรรมาธิการ การต่างประเทศ แรกๆ มีงานทำเนียบฯ ผมก็เชิญมาร่วมงาน เวลามีผู้นำมาเยือนก็เชิญมาร่วมนั่งโต๊ะเลี้ยงอาหารเป็นทางการ

ตอนหลังมาท่านก็ด่าแต่รัฐบาล ผมก็เลยไม่เชิญ คงโกรธ วันนี้เลยไม่รู้ว่ายังโกรธขนาดไหนไม่รู้ ไม่เป็นไรว่ากันไป เมืองไทยเรื่องไม่เป็นเรื่องกลับเป็นเรื่องจนได้

เข้าใจว่าจะเกินเวลา มีเรื่องอีกเยอะเลยที่เป็นเกร็ดเพื่อจะให้คนที่ตามคอการเมืองกับคอธุรกิจจะได้เข้าใจว่าธุรกิจแต่ละช่วงมีความยากลำบากยังไง และธุรกิจมีความสัมพันธ์กับคนจนกลายมาเป็นศัตรูทางการเมืองบ้างอย่างไร ตอนไปนี้เรื่องธุรกิจก็จะบางลง เรื่องการเมืองก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พอไปถึงตั้งพรรคไทยรักไทยแล้วก็จะไม่มีเรื่องธุรกิจเล่าให้ฟังแล้ว พบกันใหม่พรุ่งนี้ครับ ขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ.


-------------------------------------------------------------------------------

คำแถลงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร


เอกสารข่าวแจก
คำแถลงของ ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ภายหลังคำพิพากษาคดีทรัพย์สินฯ
วันศุกร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๓ เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น.

****************************************************************************

วันนี้ (ศ. ๒๖ ก.พ. ๕๓) เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๙ ได้แถลงผ่านรายการ “ทอล์ค อราวด์ เดอะ เวิร์ลด์” ทางเว็ปไซต์ทักษิณไลฟ์ ภายหลังจากฟังคำพิพากษาในคดีทรัพย์สินส่วนตัวของตนเองและครอบครัว โดยศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยชี้ว่าเป็นวันประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ตนเองและครอบครัวถูกยึดทรัพย์กว่าสี่หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของครอบครัว ถือเป็นเหยื่อการเมืองรายแรกที่ถูกกระทำเช่นนี้ เหตุผลที่นำมาอ้างในเรื่องผลประโยชน์จากราคาหุ้นก็เช่นกัน ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีอำนาจบังคับให้ตลาดหุ้นโลกขึ้นลงได้ นอกจากนั้นบริษัททั้งหลายต่างได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกรุงเทพ ทีพีไอ เครือซีเมนต์ไทย ทรู หรืออื่นๆ ตนจึงหวังว่าตนจะเป็นเหยื่อการเมืองรายสุดท้าย

ดร.ทักษิณฯ ยังย้ำด้วยว่า ตนเข้าสู่การเมืองด้วยความรักและปรารถนาที่จะรับใช้บ้านเมือง เมื่อลาออกจากราชการมาประกอบธุรกิจ ก็อยากตอบแทนบ้านเมืองด้วยความรู้ความสามารถ ขณะนี้อยากขอโทษต่อคุณหญิงและลูกๆ ทุกคนที่ต้องมาลำบากกับตนด้วย ครอบครัวเคยขอร้องไม่ให้ตนเข้าสู่การเมือง วันนี้จึงแต่งชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ให้กับความดื้อรั้นของตนเอง ขอเตือนนักธุรกิจทั้งหลายว่าอย่าเข้าการเมือง เพราะนักการเมืองชอบทำงานให้สำเร็จลุล่วง อาจประสบชะตากรรมอย่างเดียวกับตนได้ หากจะเข้าการเมืองจริงๆ ก็ขอให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดเสียก่อน

ในแง่การเมืองนั้น ดร.ทักษิณฯ เล่าว่าตนเองต้องลำบากเพราะได้รับความนิยมสูง เมืองไทยนั้นคนโกงอยู่ได้ แต่คนที่ได้รับความนิยมจากประชาชนอยู่ไม่ได้ ตนเองต้องผ่านปัญหาการเมืองต่างๆ มามาก เคยยืนประกาศหน้าทำเนียบรัฐบาลว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง แล้วการเลือกตั้งนั้นก็เป็นโมฆะไปเพียงเพราะผู้ใช้สิทธิ์หันหลังให้กับทางเข้า การเลือกตั้งครั้งต่อไปถูกกำหนดไกลถึงเดือนธันวาคม แต่แล้วก็ทนรอไม่ไหว เขาก็รัฐประหารเสียก่อน เมื่อเลือกตั้งแล้วพรรคพลังประชาชนชนะอีก อำมาตย์ก็ผิดหวังมาก เล่นงานจนรัฐบาลสมัครต้องสิ้นสภาพไป ความจริงแล้วตนเป็นคนพูดง่าย เพียงบอกว่าไม่ต้องการก็จะไปแล้ว

ดร.ทักษิณฯ กล่าวในช่วงสุดท้ายว่า ตนทำปริญญานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเรื่อง “การพิจารณาใช้หลักกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม” แต่ตนเองกลับไม่ได้รับความยุติธรรมเลย จากนี้ไปจะแสวงหาความยุติธรรมต่อไปอย่างเต็มที่ด้วยวิถีทางสันติ เพื่อลูกหลานรุ่นต่อไปจะได้มีชีวิตอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ความยุติธรรม และความเสมอภาค ขอขอบคุณที่พี่น้องประชาชนเข้าใจและไม่เคลื่อนไหวใดๆ ระหว่างคดี ขอให้พี่น้องเสื้อแดงเดินในเส้นทางของการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสงบสันติเช่นเดียวกัน จนกว่าเราจะบรรลุเป้าหมาย สุดท้ายได้กล่าวขอโทษต่อคุณหญิงและลูกๆ อีกครั้งหนึ่ง.

***************************************************************************

คำแปลภาษาอังกฤษ
An Address of Prime Minister Thaksin Shinawatra

Upon Hearing The Asset Case’s Result

Friday, February 26, 2010


Today has marked a history of Thailand’s justice system. The seized asset of more than 40,000 millions was done on a claim that I benefited from higher stock prices due to my being Prime Minister. The surplus was interpreted as wrongdoings, and was entirely seized. This must be a joke to the world. Stock rising as a result of my being Prime Minister? When stocks rise, the entire market does.

Does this resembles the dissolution of Thai Rak Thai Party? Court was used as a tool. Government was well-aware of the coming verdict. The flag pointer and the protector of this government are one same person. I foresaw this bashing. Only how. My conclusion at this point is: when the country’s economy improves, I receive no share. But when assets of my family increase, I am accused of cheating and my assets were seized. Fairly good that they return what was mine before the political years by using the price of stock even though it comes from the same amount of stock.

The whole stock market rises when it does. It is the country and global economic forces, not a result of my premiership. Other enterprises also benefit. Bangkok Bank. TPI. True. PTT. This is most political. I put on a black suit today to mourn. I mourn my own stubbornness when I refused to listen to my wife and my children advising me not to enter politics. I want to serve my country. I feel the need to pay back my fellow citizens. Let me apologize to my family. Political life is real tough. Let me be the very last victim of Thai politics. With true democracy, there will be no more victim.

Power rests with aristocrats, who constantly push the button. Law enforcement runs real fast with the opposite side. Serious lack of international standard. One person can yank the country backward. I wrote a dissertation on the Observation of the Rule of Law for my Ph.D. in Criminal Justice. But I receive no justice. I apologize to good judges who wish to uphold their institution, fearing it may all be destroyed. Because they want to get me, your institution was used for the purpose. I hope things start to get better after they did all they would to me.

I am a sensible person. If you don’t want me in politics, I will back down. I told His Majesty at one time I would not accept premiership. I announced most publicly in April 2006. Then the election was nullified, citing a laughable reason of voters having their backs outwardly. New election was set so far apart: December. They couldn’t wait so the coup it was. Prior to the coup, there were several attempts to assassinate me, which didn’t succeed. After the coup, this committee, comprised of my political enemies, was set up to make outrageous accusations of corruption. Now you can come to conclude that General Sondhi, the coup leader, was only a nominal leader. People’s Power Party won the election, to the aristocrats’ great disappointment. Prime Minister Samak was then gotten rid of. The party was also dissolved to get rid of another Prime Minister (Somchai Wongsawat).

Let me thank all of our supporters who adhere to my request not to show up during the case. You don’t want to be accused of doing all that for me. Let me face it alone. You can be angry, but with no violence. We must be patient and peace-oriented and continue to fight for democracy for future generations. For business people, do not enter politics.

I am the only Prime Minister who had been elected twice, consecutively. Let me say that all their accusations result from me performing my duties, systematically. I have no notion of cheating. Never thought of it. Never had a need to do so. And no need to be so greedy either. I put on one wrist watch at a time, not several. Why greedy? All charges of corruption were and are politically-motivated. My wife is a good teacher to our children. Never living in luxury. We no longer have to struggle. I just want to serve my country. I became the very first one whose personal assets were seized. If I had cheated, let me face death in 7-10 days. If I had not...let me cite this poem to you...

“This land bears witness.

We are student of great guru.

We do wrong, we deserve punishment.

We did not, but punished, may this sword be returned”.

I will continue to seek justice, wherever I am, in or out of the country. Today I receive no justice. Justice is to be sought. May the people judge. Look back at my years of service, not as one scene of a feature film. Look closely and you will see injustice lurking around. I will fight on peacefully. Future generations must be born to and in democracy, justice, and equality.

What has happened to me should be regarded as lessons for Thailand’s democratization. I appreciate all support and genuine concern. Again, I am sorry for my wife and my children.

Thank you very much.

-------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คำประกาศแดงสยาม โดย จักรภพ เพ็ญแข

คำประกาศแดงสยาม
วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓
โดย นายจักรภพ เพ็ญแข

*****************************************************************************

แดงสยามกำเนิดขึ้นในเมืองไทยแล้ว ตามสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของปวงชนชาวไทย โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใด คนไทยทุกคนที่เคารพในตนเองและผู้อื่น ด้วยจิตใจอันเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คือสมาชิกโดยธรรมชาติของแดงสยาม

นานมาแล้วที่คนไทยถูกปฏิเสธสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยตกเป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อด้วยอำนาจรัฐแบบเผด็จการ จนลุ่มหลงในทิศทางอันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ระบบใดๆ ที่ถูกสร้างข้ึนมาในระบอบอันฉ้อฉล ย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมทั้งของสังคมและสมาชิกทุกผู้ทุกนาม

เราถูกทำให้เชื่อว่าคนไทยไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ทั้งๆ ที่ความเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์และปรัชญาพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย

เราถูกทำให้เชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งเลวร้าย พรรคการเมืองไม่ใช่ทางออก สู้ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่ได้

เราถูกทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจอุปถัมภ์แบบอำมาตย์เป็นครรลองหลักของวิถีไทย ทั้งๆ ที่ผู้ชี้นำดำรงสภาพอยู่ในทุนนิยมชนิดล้าหลังและกำปัจจัยที่บันดาลความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจไว้ทั้งหมด

เราถูกทำให้เชื่อว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว ทั้งๆ ที่กองทัพ ตุลาการ พรรคการเมือง ระบบราชการ ระบบการศึกษา สื่อมวลชน เป็นต้น ล้วนสนับสนุนความเป็นเผด็จการแทบทุกมิติ

แดงสยามต้องการให้ปวงชนชาวไทยได้รับสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยต่อสู้เพื่อให้เกิดประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นในบ้านเมืองและจะต่อสู้โดยไม่หยุดยั้งถึงจะใช้เวลานานขนาดข้ามรุ่นข้ามสมัย

โดยประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น ต้องมีปัจจัยชี้ขาดดังต่อไปนี้

๑. อำนาจสูงสุดต้องเป็นของปวงชนชาวไทย

๒. บุคคลต้องมีเสรีภาพอันบริบูรณ์

๓. สังคมต้องเสมอภาค

๔. กฎมายต้องศักดิ์สิทธิ์และเป็นธรรมด้วยมาตรฐานเดียวกัน

๕. ผู้ถืออำนาจรัฐแทนประชาชนต้องมาจากการเลือกตั้ง

ขอเชิญปวงชนชาวไทยได้ตื่นขึ้นรับความสว่างอันเกิดขึ้นจากระบอบประชาธิปไตย และเห็นความมืดมนของฝ่ายเผด็จการที่ครอบงำสังคมไทยมาจนกระทั่งปัจจุบัน เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นเพื่อตัวเราและปวงชนชาวไทยรุ่นต่อๆ ไป

นี่คือภารกิจ “แดงสยาม”.


----------------------------------------------------------------------------

***TPNews - ขอเชิญผู้มีหัวใจรักประชาธิปไตยทุกท่าน สมัครเป็นสมาชิกข่าวสั้นผ่านมือถือ (SMS) เพื่อนำรายได้ช่วยสนับสนุนการต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย***

***TPNews (Thai People News) : ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-456 6794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)****

-----------------------------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

TPNews ขอเชิญสมัครสมาชิก SMS

***TPNews - ขอเชิญผู้มีหัวใจรักประชาธิปไตยทุกท่าน สมัครเป็นสมาชิกข่าวสั้นผ่านมือถือ (SMS) เพื่อนำรายได้ช่วยสนับสนุนการต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย***

***TPNews (Thai People News) : ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-456 6794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)****

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 32 ใครจะกล้าล้มเลือกตั้ง


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 32 ใครจะกล้าล้มเลือกตั้ง
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*****************************************************************************
กลัวประเทศจะไม่ฉิบหาย ให้นักวิชาการบางส่วนเขาเล่นกันไปเองเถิด นักประชาธิปไตยอย่าได้ลดตัวลงไปเล่นด้วยเลย

*****************************************************************************


ใครจะกล้าล้มเลือกตั้ง

ยิ่งไทยรักไทยกับประชาธิปัตย์เกทับบลัฟแหลกกันแค่ไหนในการเลือกตั้ง แข่งกันอุตลุดว่านโยบายของใครดีกว่าใคร หรือแม้แต่ใครเลียนแบบใคร บรรยากาศโดยรวมของประเทศยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ

เพราะทุกคนในโลกก็จะโล่งอกว่าเมืองไทยยังเป็นประชาธิปไตยอยู่

ไม่เหมือนตอนที่เกิดเหตุการณ์ลอบสังหาร

ไม่เหมือนตอนที่มีเสียงเรียกร้องของคนบางคนให้เลื่อนเลือกตั้งไปเพื่อ “ปฏิรูปการเมือง” ก่อน

ต่างไปจากภาพของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือก๊วนไหนก็ตามที่ข่มขู่ครองเมืองอยู่ โดยทำท่าประหนึ่งว่าจัดตั้งตัวเองเป็นรัฐบาลขึ้นมาเอง ซึ่งประกอบด้วย

สนธิฯ เป็นนายกรัฐมนตรี

จำลองฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยควบกลาโหม

สมศักดิ์ฯ (เครางาม) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานควบคมนาคม

สุริยใสฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการควบวัฒนธรรม

สนั่นฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

เสนาะฯ เป็นสำรองนายกรัฐมนตรี เพราะเผลอไปประกาศไว้แล้วว่าจะเป็น ก็สำรองไว้ตอนบ่ายสองโมงของชาติหน้า

อย่าลืมเอาโรงพิมพ์ผู้จัดการฯ มาแทนโรงพิมพ์สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

และเอา ASTV มาเป็นสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยเสียด้วย

แค่นึกภาพอย่างนี้ นักลงทุนข้ามชาติก็ส่ายหัวพากับหอบผ้าผ่อนหนีไปเวียดนามหมดแล้ว รักเมืองไทยแทบตายแต่เมืองไทยกลับทำอะไรที่เขาไม่เข้าใจเลย

คุณูปการของพรรคการเมืองไทยในช่วงเวลาอย่างนี้คือการเดินหน้าเต็มสูบในการหาเสียงเลือกตั้ง อย่าได้หยุดทดท้อห่อเหี่ยว หรือไปฟังข่าวลืออัปมงคลต่างๆ เรื่องการยึดอำนาจหรือการนองเลือดอะไรอยู่เลย

เป็นนักการเมืองก็จงทำงานการเมือง คือเสนอนโยบายและวิธีการทำให้นโยบายนั้นเป็นจริง

มีข่าวที่สร้างความเข้าใจผิดก็ต้องแก้ข่าว และอธิบายจนสังคมกระจ่างแจ่มแจ้ง ให้การศึกษาวิชารัฐศาสตร์ในระดับปริญญาเอกกับสังคม

ความวิตกจริต เล่นเท่าไหร่ก็ไม่พอ และกลัวประเทศจะไม่ฉิบหาย ให้นักวิชาการบางส่วนเขาเล่นกันไปเองเถิด นักประชาธิปไตยอย่าได้ลดตัวลงไปเล่นด้วยเลย

ก็ดูเอาสิครับว่าเขามีเหตุมีผลกันขนาดไหน กรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่แต่งตั้งโดยศาลล้วนๆ อิทธิพลของฝ่ายการเมืองไม่ได้แหลมเข้าไปเลย กรรมการการเลือกตั้งชุดเดิมก็ติดคุกแล้วติดคุกอีก แสดงว่าอิทธิพลใดๆ ที่ถูกกล่าวหาว่ามีนั้น หามีไม่

การเลือกตั้งจึงใสๆ และรอคอยการใช้สิทธิ์ของประชาชนทั่วประเทศอยู่

แต่ความครั่นคร้ามต่อตัวคุณทักษิณฯ มีมากล้น ชนิดเก็บเอาไว้ในใจไม่ได้ นักวิชาการบางคนจึงต้องออกมาเล่นการเมืองกับเขาด้วย ทั้งๆ ที่อุปนิสัยอันแท้จริงนั้นไม่ชอบออกไปไหว้ใคร แต่ชอบนั่งให้คนทั้งมหาวิทยาลัยมากราบไหว้ตัวเองในฐานะที่เป็นอาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์

ไม่รู้ว่าจะสร้างความสับสนต่อไปทำไม และเพื่อใคร

เมื่อพรรคการเมืองทำหน้าที่เต็มที่แล้ว นักวิชาการคนไหนจะออกมาประกาศเสียงดังฟังชัดก็เอาเลยสิครับ ประกาศไปเลยว่าไม่ต้องการประชาธิปไตยอีกแล้ว

แต่อย่ามากะล่อนว่าประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการเลือกตั้ง เพราะพอสวนกลับไปว่าจะใช้วิธีไหนวัดใจประชาชนได้ดีกว่านั้นเล่า?

ใบ้รับประทานทุกที!

-------------------------------------------------------------------------------

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 31 ผู้ว่ากทม.ไม่ใช่คนกลาง


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 31 : ผู้ว่า กทม.ไม่ใช่คนกลาง
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*****************************************************************************
ประเทศไทยมี ๗๖ จังหวัดทั่วประเทศ มีกรุงเทพมหานครเพียงจังหวัดเดียวที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นรองหัวหน้าพรรคการเมือง

*****************************************************************************
ผู้ว่า กทม. ไม่ใช่คนกลาง

ขำไม่หาย เมื่อคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกโรงมาปกป้องผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน ว่าควรจะได้เป็นผู้จัดการเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครต่อไป เพราะคุณอภิรักษ์ฯ มี “ความเป็นกลาง”

เรื่องก่อนหน้านั้นคือกองอำนวยการเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทยออกมาแถลงถึงความขมขื่นใจที่ได้รับในระหว่างการเลือกตั้ง ส.ก. และ ส.ข. เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา ทำนองว่า ท่านผู้ว่า กทม. หรือคนใกล้ชิดของท่านทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการใช้อำนาจรัฐบิดเบือนกระบวนการเลือกตั้งอย่างโจ๋งครึ่มชนิดไม่กลัวกฎหมายหรือไม่อายฟ้าดินเอาเลย

พรรคไทยรักไทยกำลังจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งและฟ้องประชาชนผ่านสื่อโดยขอเวลารวบรวมหลักฐานที่มีหลายสิบอย่างให้ครบถ้วนอีกสองสามวัน

แต่จุดสำคัญอยู่ที่การเรียกร้องไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า กรุณาเปลี่ยนตัวประธานจัดการเลือกตั้งเสียเถิด อย่าให้ผู้ว่าฯ อภิรักษ์ฯ ได้ทำหน้าที่อีกต่อไปเลย จะให้ศาลท่านกรุณารับเป็นหรือจะไปลงเอยกับใครก็คงจะไม่มีปัญหา ถ้าพ้นมือท่านผู้ว่าฯ กทม.

สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์ฯ ออกมาพูดจึงมีแง่ขันหลายอย่าง โดยเฉพาะคำรับประกันว่าคุณอภิรักษ์ฯ เป็นคนกลางนั่นแหละ

ขนาดข้อเท็จจริงค้ำคออยู่ก็ยังกล้ายืนยัน

คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน จะเป็นประธานจัดการเลือกตั้งฯ ได้อย่างไร ในเมื่อเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อยู่โต้งๆ

ประเทศไทยมี ๗๖ จังหวัดทั่วประเทศ มีกรุงเทพมหานครเพียงจังหวัดเดียวที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นรองหัวหน้าพรรคการเมือง

ผู้ว่าฯ อีก ๗๕ คนไม่สังกัดพรรคการเมืองและเป็นข้าราชการประจำสังกัดกระทรวงมหาดไทย

ในขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศมีศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการที่ปลอดจากการเมืองอย่างสมบูรณ์ทุกประการ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ชื่อคุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน เข้าประชุมพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะที่เป็นรองหัวหน้าพรรค และวางยุทธศาสตร์ในการห้ำหั่นทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา

นั่นหรือครับคือความเป็นกลางในความหมายของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ?

กลางใจประชาธิปัตย์น่ะสิ

ครับ โดยปฏิบัติแล้วท่านกรรมการการเลือกตั้งท่านไม่ได้มือไม้มากมาย ท่านก็ต้องฝากการจัดการเลือกตั้งไว้กับหน่วยงานต่างๆ ที่มีความพร้อมเป็นธรรมดา

เห็นใจท่านครับ

แต่ก็ต้องขอร้องกันตรงนี้ว่าอย่าฝากเนื้อไว้กับเสือหิว เพราะคนที่เป็นประธานจัดการเลือกตั้งของพรรคการเมือง จู่ๆ จะให้คิดว่าเขาจะบรรลุธรรมถึงขนาดยินยอมให้พรรคการเมืองอื่นๆ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งได้ง่ายๆ ในการเลือกตั้งที่เขาเป็นคนจัดเองนั้น คงจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีถึงขนาดหนัก และเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินความเป็นจริงไปมาก

เสียงร่ำร้องจากพรรคไทยรักไทยเที่ยวนี้ออกจะมีเหตุผลที่น่ารับฟังอยู่

ขนาดไม่ต้องจัดการเลือกตั้งเองท่านผู้ว่าฯ กทม. ก็ออกมารณรงค์สนับสนุนขนาดลงพื้นที่ด้วยตัวเองเกือบจะทุกวันในระหว่างนั้น ทำให้ผู้สมัครไทยรักไทยหนาวกันไม่เสร็จ ถ้าจัดการเลือกตั้งต่อไปอาจจะเข้ามาแนะนำในคูหาเลยว่าควรจะลงคะแนนให้ใคร

จึงน่าเป็นเงื่อนเวลาที่เหมาะสมหากท่านกรรมการการเลือกตั้งทั้งห้าท่านจะเปลี่ยนตัวผู้จัดการเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครเสียเดี๋ยวนี้

แทบทุกท่านมาจากศาล ประสบการณ์ด้านกฎหมายเพียบแปล้ ขนาดมีโจทย์หรือจำเลยในคดีที่รู้จักหรือเป็นญาติกัน ท่านยังขอเปลี่ยนตัวผู้พิพากษาเพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการพิจารณาคดีจะเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมกันมานักแล้ว จนเป็นประเพณีในศาล

ประเพณีอันดีงามและถูกต้องในทางการเมือง ท่านคงไม่รังเกียจที่จะช่วยสร้าง

------------------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 30 ความอ่อนของไทยรักไทย


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร

ตอนที่ 30 : ความอ่อนของไทยรักไทย

โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550

*********************************************************************************

สื่อมวลชนทั่วโลกพิศวงงงงวยว่าทำไมสื่อมวลชนไทยจึงได้มีเสรีภาพในการเลือกข้างและแบ่งข้างถึงขนาดนั้น

*********************************************************************************

ความอ่อนของไทยรักไทย


ตั้งแต่เกิดวิกฤติการเมืองอันเนื่องจากม๊อบเป็นต้นมา เราก็ได้เห็นวิธีเล่นเกมของหลายฝ่ายหลายวิถีทาง มือเก่าบ้าง มือใหม่หัดขับบ้าง ชุลมุนวุ่นวายไปหมด

ถ้าตัดประเด็นส่วนรวมออกไปสักหนึ่งนาที เราจะพบว่าความเขี้ยวไม่เขี้ยวของผู้เล่นในวิกฤติแบบนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะระงับวิกฤติหรือทำให้วิกฤติยิ่งฟุ้งกระจายไปได้

พูดง่ายๆ คือนอกจากจุดแข็งของผู้เล่นที่เป็นเงื่อนไขสำคัญของความอยู่รอดและชัยชนะ ความสำคัญยังอยู่ที่จุดอ่อนอีกด้วย

เห็นได้ชัดคือกรณีของพรรคไทยรักไทย ที่อ่อนและอ่อนเต็มทีในเชิงการเมือง

ระเบิดเฉี่ยวที่ทำการพรรคไปแท้ๆ พรรคประชาธิปัตย์ยังเก็บมาใส่สีสันเสียน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าสงครามเวียดนาม จนคนที่สดับตรับฟังต้องใจเต้นโครมครามไปตามๆ กัน ขณะที่หัวหน้าพรรคไทยรักไทยและเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ด้วย จะถูกสังหารผลาญชีวิตอยู่รอมร่อ ยังกลายเป็นขี้ปากให้ฝ่ายที่ขาดข้อมูลทั้งหลายคุยกันสนุกครื้นเครงว่าจัดฉากเอง

เรื่องของเขี้ยวแท้ๆ

บริหารประเทศมาห้าปีเต็มๆ ผลงานล้นปรี่จนไม่รู้จะหยิบเรื่องไหนมาประชาสัมพันธ์ก่อน พอประชาธิปัตย์ลอกเอาโครงการรถไฟฟ้าของตัวมาเสนอ ๗ สาย (จากของไทยรักไทย ๑๐ สาย) ก็เกิดตื่นเต้นว่าคนจะเชื่อว่าประชาธิปัตย์ในทำนองมาทีหลังดังกว่า ทั้งๆ ที่รัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์รวมกันระหว่างสองชวน หนึ่งบัญญัติ กับหนึ่งอภิสิทธิ์ ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมมาเทียบได้

แต่ปี๊บไทยรักไทยมันคงเต็มเกินไป ตีเท่าไหร่มันก็ดังตุบ ไม่ยักกะเปรี้ยงปร้างกระดอนไปไกลเหมือนปี๊บเปล่าของประชาธิปัตย์

นายกรัฐมนตรีไทยรักไทยจัดงานถวายในวโรกาสหกสิบปีที่ทรงครองราชย์ จนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณทรงชมเชยรัฐบาล ระหว่างเสด็จฯ ออกสีหบัญชรว่าจัดงานได้เรียบร้อยดี ยังปล่อยให้คนที่ชอบสร้างความร้าวฉานในสังคมไทยปล่อยข่าวได้อย่างหน้าตาเฉยว่ามีความขัดแย้งกับเบื้องสูง

เลยไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าพ่อไอที เพราะข่าวปล่อยพวกนี้มากับเว็ปไซต์เสียมาก

สื่อมวลชนในสังกัดของรัฐมีเยอะ สมัยประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล คงยังจำยุคของคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์กันได้ว่า รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นกำกับกรมประชาสัมพันธ์และ อสมท. ได้อร่อยแค่ไหน มาในยุคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลบ้าง ยังไม่ทันพูดอะไรกับสื่อของรัฐสักคำ ข่าวของช่อง ๙ ที่เป็นของรัฐเอง ออกมาทิ่มตำรัฐบาลเหมือนเป็นลูกกำพร้าไม่มีพ่อแม่คอยดูแล

แล้วยังพูดออกมาได้ว่าแทรกแซงสื่อ

หนังสือพิมพ์ส่วนมากดุด่ารัฐบาลอยู่ทุกวัน ชนิดหาดีไม่เจอ ทั้งๆ ที่คนหลายสิบล้านทั่วประเทศเขายังรักใคร่และศรัทธาในรัฐบาลไทยรักไทย จนสื่อมวลชนทั่วโลกพิศวงงงงวยว่าทำไมสื่อมวลชนไทยจึงได้มีเสรีภาพในการเลือกข้างและแบ่งข้างถึงขนาดนั้น

นั่นล่ะครับ รัฐบาลรังแกสื่อ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็สลบเหมือดนอนอยู่นั่น

เหล่านี้คือเขี้ยวที่ไทยรักไทยจะต้องหัดปลูกหรือไม่ก็ยืมมาสักชุดจากประชาธิปัตย์

จะทำอะไรเลวร้ายก็ตะโกนดังๆ ว่าอีกฝ่ายหนึ่งทำ คนจะได้มองไปทางนั้น ตัวเองจะได้มุดดินทำอะไรไปตามสบาย

เอะอะก็ว่าแทรกแซงสื่อไว้ก่อน เพราะรู้ดีว่าโดยโครงสร้างแล้วสื่อทั้งหลายไม่ชอบได้ชื่อว่าเชียร์รัฐบาล วีรชนในวงการสื่อเกิดขึ้นมาได้เพราะตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทั้งนั้น

ไม่ต้องคิดนโยบายใหม่ๆ ให้เมื่อย คอยด่าสิ่งที่พรรคฝ่ายตรงกันข้ามคิดออกมาสบายกว่า

อะไรทำท่าจะประสบความสำเร็จ ให้รีบบอกว่าคนทำมีผลประโยชน์ทับซ้อน ความดีมันจะได้ถูกบดบังด้วยความสงสัยของคน

พอนึกเรื่องด่าไม่ออก ให้ตะโกนไว้ก่อนว่าคนรวยจะต้องเลว เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าในสังคมที่มีคนจนมากๆ คนรวยวางตัวลำบาก

และที่สำคัญที่สุดคือไทยรักไทยต้องไม่ลืมว่าตัวอยู่เมืองไทย

-----------------------------------------------------------------------------


วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

TPNews ขอเชิญสมัครสมาชิกข่าว SMS

***TPNews - ขอเชิญผู้มีหัวใจรักประชาธิปไตยทุกท่าน สมัครเป็นสมาชิกข่าวสั้นผ่านมือถือ (SMS) เพื่อนำรายได้ช่วยสนับสนุนการต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย***

***TPNews (Thai People News) : ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-456 6794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)****

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 29 หางแกว่งหมา


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 29 : หางแกว่งหมา
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*********************************************************************************
นักวิชาการทั้งหลายจึงกำลังเคลื่อนไหวแบบตีปลาหน้าไซ ประณามเขาเสียก่อนที่จะพิสูจน์ได้ว่าเขาผิดอะไร

*********************************************************************************
หางแกว่งหมา

ทฤษฎีหางแกว่งหมา หรือ Wag the Dog ความจริงเป็นเรื่องของกองทัพและการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ มีประวัติศาสตร์ที่ออกจะซับซ้อน

แนวคิดหลักอยู่ที่ว่า ผลประโยชน์จากการจัดซื้อ จัดจ้าง และจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์นั้น หลายครั้งกลายเป็นเงื่อนไขกำหนดความสามารถของกองทัพไป เช่น จะซื้อเครื่องบินอะไร จะใช้เทคโนโลยีรถถังของประเทศไหน บริการหลังการขายเป็นอย่างไร ฯลฯ แทนที่ยุทธศาสตร์จะเป็นตัวตั้งต้นและจัดหาส่วนประกอบทั้งหลายให้ได้ตามยุทธศาสตร์ กลายเป็นกลับข้างกัน

เขาเลยเรียกล้อๆ ว่า ไอ้หมาตัวนี้มันแปลกดีนะ แทนที่มันจะแกว่งหาง เมื่อรู้สึกดีใจหรืออะไรต่างๆ ของมัน หางที่ไม่ควรจะมีความคิดจิตใจแท้ๆ กลับแกว่งตัวมันเองแทน

หางแกว่งหมาทางทหาร ทำลายความสามารถในการรบและการป้องกันตนเองมาหลายประเทศแล้ว วันหลังคงจะได้เล่าให้ละเอียดกว่านี้ วันนี้เป็นหางอีกประเภทหนึ่งและเป็นหมาอีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

ผมนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้เมื่อเห็นการแถลงข่าวที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ นำโดยคณบดีคนใหม่คือ ดร.จรัส สุวรรณมาลา

เรียกร้องให้ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เว้นวรรค เพื่อให้ “สังคม” ตรวจสอบข้อสงสัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวนายกรัฐมนตรีและพวก

คำว่าสังคมนั้น ท่านคงไม่ได้หมายถึงเฉพาะคณาจารย์ที่ร่วมกันเคลื่อนไหวในเรื่องนี้คือตัวท่านและพวกเท่านั้น คงรวมถึงชนชั้นนำต่างๆ ที่เหนือขึ้นไปกว่าชาวบ้านด้วย แต่รวมตัวท่านเองและพวกด้วยแน่ๆ

ผมรู้สึกแปลกใจครับ

ตามปรกติแล้ว เมื่อรัฐธรรมนูญยังมีอิทธิฤทธิ์กำหนดกรอบของการทำงานในระบอบประชาธิปไตยอยู่ ขนาดที่รัฐสภาก็สมบูรณ์ รัฐบาลก็สมบูรณ์ ศาลก็สมบูรณ์ ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคที่อยากได้มาตั้งแต่ชาติปางก่อน บัดนี้ก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

องค์กรตรวจสอบทั้งหลายเป็นของใหม่ ในสังคมอุปถัมภ์แบบไทย ย่อมจะเกิดข้อกังขาต่างๆ ได้บ้าง ว่าใครเป็นพวกใครหรือไม่ หน้าที่ของคนที่รักรัฐธรรมนูญก็ต้องช่วยกันประคับประคองไป เพราะโดยภาพรวมคือสิ่งเหล่านี้ยังอยู่ได้

ในเงื่อนไขเช่นนี้เองที่นักวิชาการอย่างท่านอาจารย์จรัสฯ กลับออกมาเรียกร้องให้นักการเมืองที่เดินมาตามขั้นตอนนั้นทุกอย่างอย่างคุณทักษิณฯ เว้นวรรคตัวเองไปเฉยๆ

เหตุผลที่นำมาใช้อธิบายจุดยืนของตัวเอง เอาเข้าจริงแล้วก็คือข่าวลือข่างอ้างที่เชื่อกันเองว่าจริงทั้งเพ ไม่มีอะไรเลยที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นในกระบวนการที่เรายอมรับกันได้อย่างศาล

อดีต กกต. ๓ ท่านต้องเข้าคุกนั้น ศาลก็เขียนคำวินิจฉัยชัดเจนว่าทำให้เกิด “ความสงสัย” จึงถูกลงทัณฑ์ ถ้าศาลบอกโต้งๆ ว่าเอื้อพรรคไทยรักไทย ป่านนี้ก็ต้องตามมายุบพรรคด้วยแล้ว เขาไม่ปล่อยเอาไว้ทำอะไรหรอก เรื่องแบบนี้เห็นได้ชัดว่า ความเชื่อกับความจริงมันยังมีช่องว่างระหว่างกันอยู่ ฯลฯ

นักวิชาการทั้งหลายจึงกำลังเคลื่อนไหวแบบตีปลาหน้าไซ ประณามเขาเสียก่อนที่จะพิสูจน์ได้ว่าเขาผิดอะไร

เล่นการเมืองแบบพรรคการเมืองเก่าแก่แท้ๆ คือ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหายในชื่อเสียงเกียรติคุณเสียก่อน กว่าจะถึงขั้นตอนการพิสูจน์ทราบ สื่อก็คล้อยตามเราไปแล้ว จริงไม่จริงค่อยมาว่ากันในภายหลัง ตอนที่ประชาชนลืมต้นเรื่องไปแล้วนั่นแหละครับ

ทำไมจึงไม่รอให้กระบวนการที่มีอยู่ทำหน้าที่ไปก่อน เมื่อกงล้อติดขัดแล้วจึงจะเข้ามาเสนอความคิด
ทำไมหางจึงแกว่งหมา?

ผมอยากจะพูดดังๆ ตรงนี้ ในฐานะที่สอนหนังสือมายี่สิบปีและทำงานอื่นๆ อีกมากว่า นักวิชาการบางคนที่กำลังใช้ความ “เหนือกว่า” ทางสังคม อาศัยความเป็นอาจารย์ที่คนเขายังหลงกราบไหว้บูชาว่าเป็นยอดคน มาย่ำยีระบบเพียงเพราะโมหจริตชนิดควบคุมไม่อยู่ของตน ความจริงคือภัยสังคมอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง

ยกมือไหว้ไหวหรือ?


-------------------------------------------------------------------------------


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 28 ตั๊กแตนกับควายป่า


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 28 : ตั๊กแตนกับควายป่า
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

********************************************************************************
แนะนำให้คนแสดงความหยาบคายใส่ครอบครัวลูกเต้าของเขา โดยบอกว่าเป็นการขัดขืนอย่างผู้เจริญ

********************************************************************************
ตั๊กแตนกับควายป่า

เมื่อสักครู่นั่งดูสารคดีเรื่อง “Perfect Swarm” ทางช่องเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคด้วยความทึ่ง

เขาเล่าเรื่องด้วยภาพได้ดีเหลือเกินว่าฝูงตั๊กแตนมหึมามันร่อนลงมาเขมือบไร่นาสาโทของคนแอฟริกันอย่างไร อธิบายทุกอย่างตั้งแต่ตั๊กแตนจัดฝูงและติดต่อสื่อสาร ไปจนถึงความอยากอาหารขนาดหนักของมันที่ทำให้สีเปลี่ยนไปทั้งตัว ขาก็งอกยาวขึ้น เปลี่ยนสภาพจากแมลงขี้กลัวขี้อายเป็นแมลงก้าวร้าวขนาดหนัก โจมตีทุกอย่างที่ขวางหน้าจนเจ้าของที่ดินสิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆ กัน

น่าทึ่งที่สุดก็คือตอนที่นักกีฏวิทยาที่ค้นพบสายสัมพันธ์ที่ไม่น่าจะมีอยู่ระหว่างตั๊กแตนเหล่านี้กับฝูงควายป่าหรือไบซันที่เกือบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ใครจะไปนึกว่าควายกับตั๊กแตนจะเป็นปรัชญาการต่อกันและกันได้

เพราะเมื่อไบซันวิ่งกระโดดๆ ไปทั่วบริเวณใดก็ตาม ดินแถบนั้นจะซุยขึ้นเพราะน้ำหนักตัวของมัน และเมื่อควายป่าไบซันวิ่งไปไกลเป็นหลายร้อยไมล์ก็เท่ากับได้พรวนดินเป็นบริเวณกว้างไปด้วย

ตั๊กแตนเหล่านี้ชอบที่กินอาหารใกล้กับที่ๆ มันจะวางไข่ได้ และผืนดินร่วนซุยแบบที่ไบซันทิ้งมรดกเอาไว้ให้นั่นเองคือแบบที่พวกมันชอบวางไข่นักทีเดียว เห็นเข้าก็เลยดีใจรีบชวนกันบินมา

สายสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ในโลกเกิดขึ้นเพราะคน สัตว์ หรือจุลินทรีย์ต่างกลุ่มเกิดสามัคคีชุมนุมกันเพราะผลประโยชน์ร่วมกันบางอย่างเสมอ ถ้าแยกแผลงฤทธิ์แล้วมักจะมีความสามารถจำกัด

ดูแล้วก็อดประหวัดใจถึงการเมืองไทยในขณะนี้ไม่ได้

เมื่อคุณสนธิฯ ประกาศจัดตั้งกลุ่มของตนเองขึ้น ผ่านขาขึ้นขาลงจนกลุ่มอื่นๆ เข้ามารวมตัวกันตั้งขึ้นเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้ว สิ่งที่ทำให้ความก้าวร้าวรุนแรงของผู้นำพันธมิตรฯ กลายสภาพจากแมลงอายๆ เมื่ออยู่เดี่ยวจนเป็นแมลงกระหายเลือดได้นั้น กลับเป็นดินซุยที่เกิดขึ้นจากความคิดเห็นของคนที่สังคมขนานนามว่าเป็นปัญญาชนส่วนหนึ่ง

เพราะช่วยพรวนดินสำหรับการวางไข่ของพันธมิตรฯ อย่างน่ารักที่สุด

วิธีการก็คือช่วยแสดงความเห็นทางการเมืองในแบบที่ความเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ จะเดินหน้าต่อไปได้ แม้จะแสดงความไม่เคารพต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

เช่น นักวิชาการบางท่านออกมาบอกว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ของจำเป็นที่สุดในระยะนี้ ปฏิรูปการเมืองเสียก่อนแล้วค่อยเลือกตั้งก็ได้ เกือบจะหลุดปากออกมาว่าเป็นเดือนเป็นปีก็ไม่สำคัญ ทั้งที่เป็นนักวิชาการในกลุ่มเดียวกับที่เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งจนเกือบจะต้องแลกด้วยชีวิตมาก่อน

นักวิชาการบางท่านออกมาเรียกรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งว่าระบอบทักษิณ ทั้งที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมา ถ้าตัวเองสงสัยว่ากระบวนการตรวจสอบมีปัญหา ก็ต้องแก้ไขที่จุดนั้น ไม่ใช่เหวี่ยงแหมาคลุมเอาเลยทีเดียวว่าใช้ไม่ได้ทั้งหมด

นักวิชาการบางท่านส่งเสริมและแสดงตัวอย่างให้คนฉีกบัตรเลือกตั้ง แสดงความก้าวร้าวรุนแรงขนาดตามไป “ด่า” ผู้นำทางการเมืองทุกที่ทุกเวลา แนะนำให้คนแสดงความหยาบคายใส่ครอบครัวลูกเต้าของเขา โดยบอกว่าเป็นการขัดขืนอย่างผู้เจริญ ฯลฯ

นี่คือเป็นเพียงตัวอย่างของควายป่าที่ช่วยพรวนดินจนซุย เพื่อตั๊กแตนกระหายเลือดจะได้ลงมาสวาปามผลิตผลอันเกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงและการต่อสู้ของคนที่รักในการเพาะปลูก ไม่ใช่ไปคว้าของคนอื่นมาเป็นของตนอย่างด้านๆ

ข้าวโพดที่เรียบวุธไปนั้นเปรียบได้กับต้นกล้าประชาธิปไตย

ได้โปรดเถอะครับ ตั๊กแตนมันจะมีธรรมชาติดั้งเดิมก้าวร้าวรุนแรง หยาบกร้านด้านหน้าอย่างไรก็ตาม ควายป่าทั้งหลายก็ไม่ควรไปชวนพรวนดินจนมันคิดว่านี่แหละคือผืนดินอันเหมาะสมต่อการทำลายล้างของมัน

แต่ความหวังยังมี เพราะผมเชื่อโดยส่วนตัวว่านักวิชาการไทยไม่ใช่ควายป่าทุกคนไป.


--------------------------------------------------------------------------------

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 27 สื่อเทียมคืออะไร?


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหารตอนที่ 27 : สื่อเทียมคืออะไร?
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

**************************************************************************
สื่อเทียมรู้ได้ทันทีว่าตัวเป็น เมื่อฐานมวลชนที่ตัวตั้งใจจัดตั้งขึ้นมาเริ่มเบี่ยงเบนออกจากแนวทางประชาธิปไตย

**************************************************************************
สื่อเทียมคืออะไร?

สนุกครื้นเครงกันเชียวล่ะครับเรื่อง “สื่อเทียม” เพราะมีคนยกประเด็นขึ้นมาว่าได้เกิดสื่อใหม่ขึ้นทางโทรทัศน์และวิทยุหลายสื่อ ที่ดูจะหวังผลในทางการเมืองที่กำลังโรมรันกันอยู่อย่างเข้มข้นมากกว่าผลในการสื่อสารแบบปรกติ

ผู้วิจารณ์เรียกสื่อใหม่ๆ นี้ว่าสื่อเทียม คงจะให้ตรงข้ามกับสื่อมวลชนที่มีอยู่เดิมและอยากให้คนอุทานเสริมบทกันอยู่ในใจว่านั้นแหละสื่อแท้

เรื่องนี้จึงชวนทะเลาะเอาเรื่องอยู่

ความรู้สึกที่มีต่อรัฐบาลคุณทักษิณฯ ทำให้ประเทศแบ่งออกเป็นสองขั้วความคิด และผลนี้เองได้ทำให้สื่อมวลชนทุกแขนงเลือกที่จะวางตำแหน่งตัวเองตามไปด้วย จะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็เถิด

ผมก็เลยเกิดความคิดแวบขึ้นมาว่า เมื่อสื่อเกิดแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเช่นนี้เสียแล้ว ที่เดิมเป็นสื่อแท้อันยิ่งใหญ่เกรียงไกรนั้น บัดนี้ยังคงมีสิทธิ์ได้รับเกียรติว่า “แท้” หรือเปล่า

เพราะเห็นว่าแบ่งข้างกันไปแล้ว

สื่อใหม่ๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นมาไม่กี่ปีอย่าง ASTV ของหัวหน้าม็อบพันธมิตรฯ ซึ่งดูจะมีจุดประสงค์เพื่อโค่นคุณทักษิณฯ ลงโดยเฉพาะ โดยใช้กระบวนการโฆษณาชวนเชื่อเต็มรูปแบบ บางครั้งถึงกับริมๆ จะละเมิดสถาบันหลักของชาติบ้านเมืองเอาเสียด้วย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแห่งตน

อย่างนี้เป็นสื่อแท้หรือไม่

ยังไม่รวมถึง DVD/VCD ที่เครือข่ายต่างๆ นำออกมากระแทกใส่กันอย่างน่าเวียนหัว และผลิตกันเป็นแสนๆ แผ่นแจกจ่ายไปทั่วเมืองในยุคที่เครื่องเล่นราคาถูกลงแล้วอย่างนี้ เป็นสื่อใหม่น่ะใช่แน่ แต่ไปเกี่ยวกับความแท้หรือความเทียมกับเขาด้วยหรือเปล่า

ออกจะงงอยู่

ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ MV1 ที่คุณสมัคร สุนทรเวช นำทัพไปออกอย่างกระหึ่ม และต้องติดจานราคา ๗,๓๐๐ บาทแล้วก็จะนอนดูได้อย่างสบายอุรา เป็นของแท้หรือไม่ ตราบใดที่ยังมีคนมากๆ ล้อมวงเข้ามาฟังคุณสมัครฯ คุย และคนที่ออกมาโห่ไล่ยังเป็นคนที่ใช้ความคิดน้อยแต่เปิด ASTV แช่เอาไว้กรอกหูของตัวเองและครอบครัวอย่างลืมตัว

ครับ สื่อแท้คือสื่อที่นำเสนอแล้วคนเป็นจำนวนมากให้ความสนใจ และได้ความรู้ความเข้าใจมากพอที่จะนำไปพัฒนาตัวเองต่อไปได้

ถ้าขืนจะใช้คำว่าสื่อเทียมกัน ก็คงต้องสงเคราะห์ว่าคือการโฆษณาชวนเชื่อที่หวังแต่จะทำให้คนที่ตัวกำหนดให้เป็นเหยื่อเกิดความเสียหายจากข้อมูลที่สาดใส่เข้ามาอย่างไม่คำนึงว่าเท็จหรือเกินจริง และทำให้สังคมเกิดความกระหายเลือดจนจนกระโดดผางออกจากแนวทางแห่งความสันติสุขของบ้านเมือง

สื่อเทียมจึงไม่ใช่ใบหน้าของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นคุณสนธิฯ คุณสมัครฯ หรือคุณอะไรต่อมิอะไรที่ดาหน้าเข้ามาหาสื่อ แต่เป็นพฤติกรรมในแต่ละขณะ

สื่อแท้ที่คนเขาให้เกียรติรับรู้รับฟัง จะรู้ได้ว่าตัวเป็นหรือไม่ก็เมื่อพบว่าตัวเองเริ่มมีฐานมวลชนโดยไม่ต้องจัดตั้ง

สื่อเทียมรู้ได้ทันทีว่าตัวเป็น เมื่อฐานมวลชนที่ตัวตั้งใจจัดตั้งขึ้นมาเริ่มเบี่ยงเบนออกจากแนวทางประชาธิปไตย

เพราะฉะนั้น ควรระลึกไว้เสมอว่าประชาชนคือผู้ตัดสินทั้งสองทาง ไม่ว่าแท้หรือเทียม

ไม่ใช่นักวิชาการนิเทศศาสตร์วารสารศาสตร์ ไม่ใช่สื่อมวลชนเขี้ยวลากดินที่กลัวจะเกิดคู่แข่ง และไม่ใช่นักจรยุทธที่เอื้อมมือจะมาผลักรัฐธรรมนูญให้ตกไปจากพาน

กระบวนการแยกสื่อแท้ออกจากสื่อเทียมจึงทำได้โดยไม่ยาก แต่ต้องล้างความไร้สาระที่สอดใส่กันเข้ามาในระบบความคิดจนประชาชนสับสนในระบอบประชาธิปไตยออกให้หมด

แล้วเดินไปกาบัตรในการเลือกตั้งอย่างวิญญูชน ครับ เลือกตั้งเอาประชาธิปไตยกลับมานี่แหละ แต่จะได้สื่อแท้พ่วงเข้ามาด้วย.
---------------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

TPNews - เชิญสมัครเป็นสมาชิกข่าวสั้นผ่านมือถือ (SMS)

***TPNews ขอเชิญผู้มีหัวใจรักประชาธิปไตยทุกท่าน สมัครเป็นสมาชิกข่าวสั้นผ่านมือถือ (SMS) เพื่อนำรายได้ช่วยสนับสนุนการต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย***

***TPNews (Thai People News) : ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-456 6794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)***

****************************************************************************

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 26 นักการเมืองในอนาคต


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 26 : นักการเมืองในอนาคต
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

***************************************************************************
นักการเมืองฝ่ายสร้างสรรค์จะค่อยๆ ลดจำนวนลงไปตามสัดส่วนของการด่า และนักการเมืองอีกประเภทหนึ่งจะเพิ่มจำนวนขึ้น

***************************************************************************

นักการเมืองในอนาคต

เมื่อตอนเด็กๆ จะมีผู้ใหญ่ที่มองการณ์ไกลทั้งหลายมากระซิบข้างหูบ่อยๆ ว่า อย่ารังเกียจการเมือง ถึงใครเขาจะพูดว่าการเมืองทำให้คนไม่สะอาด ชีวิตเป็นจลาจล ก็ขอให้นึกถึงประเทศชาติไว้เป็นสำคัญ

และแถมท้ายทุกครั้งว่าคนดีมีความสามารถต้องใส่ใจการเมืองและอยากทำงานการเมือง เพื่ออนาคตของส่วนรวม

นึกถึงพระราชดำรัสที่ว่าด้วยคนดีกับคนไม่ดีในบ้านเมือง โปรดฯ ให้แยกคนไม่ดีออกไปเสีย เพื่อไม่ให้มีโอกาสเกี่ยวข้องการบริหารบ้านเมืองได้ ก็ยิ่งเห็นจริงว่าต้องเข้ามาทำงานการเมือง

เพราะอุดมการณ์ไทยก็เวียนวนอยู่รอบสถาบันหลักทั้งสาม จะให้ไปเชื่อคนอื่นได้อย่างไร

แต่สถานการณ์ทางการเมืองที่เขม็งเกลียวอย่างนี้ ทำให้คนที่ถูกเรียกว่านักการเมืองออกจะสะท้อนใจอยู่ไม่น้อยว่าช่วยชาติทั้งทีต้องเสียสละขนาดนี้เชียวหรือ

พอแบ่งข้างแบ่งฝ่ายกันอย่างหนักหน่วง ก็บรรเลงเพลงผ่านสื่อหลากหลายประเภทกันอย่างครื้นเครง จริงไม่จริงใส่ไว้ก่อน

ใช้ศิลปะที่ภูมิใจกันนักหนาว่าด่าคนเล่นโดยไม่ถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้ ที่คอลัมนิสต์หลายคนเอามาอวดโม้กันนักหนาว่าแก่อย่างมีหลักการ เอาไว้อวดนักข่าวรุ่นน้องเล่นว่าข้าเหนือกว่า

ทั้งที่ความจริงสิ่งที่เหนือกว่ามีแต่เพียงความกะล่อนเท่านั้นเอง

ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลก็สวนกันทุกเม็ดทุกหยดโดยไม่ต้องห่วงความควรไม่ควร เพราะแรงกดดันมีมากเหลือกำลัง ถ้าไม่โต้ตอบเสียเลยเขาก็จะดูหมิ่นได้ว่าไม่ใช่นักการเมืองแท้

เสียงประณามกันและกันจึงดังกระหึ่มอยู่ตลอดเวลาและดูจะไม่สิ้นสุด

บรรยากาศแบบนี้คนที่รักจะทำงานการเมืองอย่างเดียว โดยไม่สนใจสร้างอิทธิพลหรือแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ สำหรับตนเอง จะเริ่มรู้สึกเหมือนมะเร็งกินตัว

ความภาคภูมิจะถูกกัดกร่อนไปทีละน้อย ช้าๆ แต่ทว่าอันตรายอยู่มาก วันหนึ่งก็จะถอนตัวออกไปอย่างคนหัวใจสลาย บางคนถึงกับซมซานออกไปทีเดียว

ผมกำลังกลัวครับว่า บรรยากาศก่นด่าทางการเมือง ซึ่งลามจากตัวของเขาไปถึงญาติพี่น้องและครอบครัว
อะไรดีๆ ที่เคยทำมาถูกจับมาผ่าออกและชำแหละเล่นจนยับเยิน จะทำให้วงการเมืองเหลือเพียงสองประเภทเอาไว้เป็นตัวเลือกในการบริหารชาติ

พวกที่หนึ่งคือเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์อย่างเดียว ก็จะหน้าด้านอยู่ได้ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็ตาม เพราะยุทธวิธีที่สำคัญคืออย่าให้ถูกจับได้เท่านั้น

พวกที่สองคือคนที่ทำมาหากินอย่างอื่นไม่เป็น นอกจากทำตัวเป็นคนเขี้ยวยาว ด้านอยู่ในการเมืองจนมีตำแหน่งแห่งหนด้วยการยกตนข่มท่านบ้าง ฉกฉวยโอกาสเอาเฉยๆ บ้าง ไม่มีทางเลือกมากนักในชีวิต
คิดถึงว่าบ้านเมืองอาจจะเหลือแค่คนสองประเภทนี้แล้วก็ใจหาย

เพราะคนที่มีสิ่งที่เขาเรียกกันว่าเกียรติภูมิตามธรรมชาติ จะไม่ค่อยหน้าด้าน แค่เขาให้เกียรติไม่พอหรือให้ไม่ทันใจตัวเองก็ไขก๊อกไปแล้ว

หรือคนเก่งๆ ที่มีทางเลือกในชีวิตมากกว่าหนึ่งทาง ก็จะไม่นั่งให้ใครสับโขกว่าเป็นคนเลวที่สุดในโลก แต่จะออกไปทำงานที่ได้รับความขอบคุณมากกว่า

ด่ากันไปเถิดครับ แล้วจะได้เห็นจริงๆ ว่านักการเมืองฝ่ายสร้างสรรค์จะค่อยๆ ลดจำนวนลงไปตามสัดส่วนของการด่า และนักการเมืองอีกประเภทหนึ่งจะเพิ่มจำนวนขึ้น

บรรยากาศที่ไม่ให้เกียรติกัน จะทำให้ผลประโยชน์และภาวะสิ้นคิดจนตรอกกลายเป็นเหตุผลของการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้ง เพราะหาเหตุผลดีๆ ไม่ได้ว่าจะเข้ามาทำไม

ถึงวันนั้นอย่าแปลกใจก็แล้วกันว่าใครทำให้เป็นเช่นนั้น.
----------------------------------------------------------------------------------

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 25 พุทธหรือไสย?


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 25 : พุทธหรือไสย?
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

******************************************************************************
นั่งทบทวนดูบรรยากาศในเมืองไทยแล้วก็พบว่า เรามีรากฐานเป็นเมืองพุทธแท้ๆ แต่ใช้ประโยชน์จากพุทธธรรมน้อยอย่างน่าใจหาย

******************************************************************************
พุทธหรือไสย?

ตั้งแต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดูเหมือนจะเกิดประเพณีใหม่ที่มิใช่ไทยเดิมขึ้นมาหลายอย่าง

และเป็นประเพณีที่ประเทศประชาธิปไตยชนิดที่พัฒนาแล้วไม่รู้จัก

เป็นต้นว่าไม่ชอบใครก็ประกาศว่ามีสิทธิที่จะ “ด่า” ผ่านพ่อแม่พี่น้องและบุตรภรรยาของเขาได้ ทั้งที่คนเหล่านี้มิได้เกี่ยวข้องหรือมีผลประโยชน์ใดๆ ด้วยเลย

วิธีการอันสุนทรก็คือให้ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของเป้าหมายนั้นๆ ผ่านเว็ปหรือ SMS ครบหมดทั้งชื่อ นามสกุล บ้านช่อง และส่วนที่สำคัญที่สุดคือหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อให้ต่อสายไปพูดกับครอบครัวของเขาอย่างจ้วงจาบหยาบคาย

โดยมากจะเลือกกระทำการตอนดึกๆ เพื่อให้เดือดร้อนมากๆ

จุดประสงค์คือเพื่อจะประกาศความเกลียดชังของตน และแสดงความโกรธแค้นอย่างรุนแรงที่คนทางปลายสายบังอาจมีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างไปจากตน

ยุคนี้จึงเปิดศักราชของความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดผลลามปามไปอย่างที่ไม่น่าจะเป็น นอกจากประชาธิปไตยในระยะตั้งไข่ดูจะเฉไฉไปแล้ว วัฒนธรรมอันดีงามแบบไทยยังได้รับผลสะเทือนอีกต่างหาก

นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น มีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเคร่งครัดอยู่ว่า การเมืองเป็นเสมือนการแข่งขันกีฬา จะต่อสู้ห้ำหั่นอย่างไรก็จงเล่นกันอยู่บนเวทีเท่านั้น ไม่ล้นออกมาข้างนอกให้คนอื่นๆ เดือดร้อนรำคาญใจ

และไม่เคยลามปามไปถึงครอบครัวญาติมิตรของคนที่เป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองเลย

ด้วยหลักการที่รู้กันอย่างนี้ การเมืองจึงไม่เว่อร์ไม่เกิน และไม่ทำให้ประชาชนเจ้าของสิทธิ์ที่เฝ้ามองอยู่เกิดความเบื่อหน่ายต่อการเมือง

นี่เรียกว่ามารยาททางการเมือง ซึ่งเป็นคำที่ผู้นำม็อบพันธมิตรฯ คงจะเคยได้ยินมาบ้าง

ความเห็นที่ไม่ตรงกันทางการเมืองเป็นสิ่งที่ประชาธิปไตยเห็นว่าสูงค่า ควรแก่การสนับสนุนให้แสดงออกมากๆ หากแต่แสดงให้เหมาะสมกับกาลเทศะ

เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเห็นที่ไม่ตรงกันทำให้คนมองกันและกันอย่างศัตรู ที่ต้องห้ำหั่นกันถึงขั้นแบ่งพวกเพื่อยกมาตีกัน ประชาธิปไตยก็พัง

นักเรียนอาชีวะเดี๋ยวนี้ยังกลายเป็นคนพันธ์ “อ.” ไม่เอะอะก็ตีกันยับเหมือนสมัยก่อน

มาถึงวันนี้คนแก่ทั้งหลายกลับกลายเป็นคนที่เรียกร้องความรุนแรงเสียเอง

ให้โทรศัพท์ไปด่าเขาที่บ้าน โดยญาติพี่น้องเขานอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น เอาความเห็นแก่ตัวของตัวเองไปพ่นใส่เขาถึงบ้านและในยามวิกาล อย่างนี้เป็นความรุนแรงทางวจีกรรมและมโนกรรมอย่างชัดแจ้ง

ผมมานั่งทบทวนดูบรรยากาศในเมืองไทยแล้วก็พบว่า เรามีรากฐานเป็นเมืองพุทธแท้ๆ แต่ใช้ประโยชน์จากพุทธธรรมน้อยอย่างน่าใจหาย

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องมัชฌิมาหรือทางสายกลาง โดยมีเนื้อความว่าผู้ปฏิบัติธรรมไม่
ควรคิดและทำอะไรอย่างสุดโต่ง และพิจารณาด้านต่างๆ อย่างมีโยนิโสมนสิการหรือมีความแยบคายละเอียดอ่อน

ทำอะไรก็ควรกอปรไปด้วยความเมตตาต่อเพื่อนร่วมทุกข์

จะยึดถืออะไรก็ควรคำนึงถึงหลักของพระไตรลักษณ์ อันว่าด้วยอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา จะได้รู้ในความเสื่อมของสรรพสิ่งทุกอย่าง จะไปยึดเอาเป็นตัวเป็นตนมิได้

ครับ พอถึงขั้นรณรงค์ให้คนตามไป “ด่า” ครอบครัวของเขาถึงบ้าน ก็คิดว่าต้องชวนคุยเรื่องเหล่านี้บ้างแล้ว
เพื่อไม่ให้คนที่ยึดเอาคุณสนธิฯ เป็นศาสดา ยื้อยุดสุดโต่งกันจนเกินไป

เพราะตนที่ติดตามเหตุการณ์มาตลอดยังสงสัยอยู่ไม่วายว่า แล้วคนอย่างคุณสนธิฯ เล่า ยึดใครเป็นศาสดา?

****************************************************************************

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผลาญรัฐ โดย จักรภพ เพ็ญแข


โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ “ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 38

*****************************************************************************

ผลาญรัฐ

เมื่อเรามีรัฐบาลพิการสมอง
ท่วงทำนองบริหารที่ผลาญเผา
กู้เงินเขาให้เราค้ำก็ชำเรา
สาวได้สาวเอาน่าเศร้าใจ

ประเทศไทยเราจึงจมต้องอมทุกข์
หมดสุขเพราะเขาเข่นให้เป็นไพร่
น้ำใต้ศอกของอำมาตย์ย่อมบาดใจ
ส่งรัฐบาลจัญไรมานั่งเมือง

ยกพวกปล้นปวงประชาเพราะหน้าด้าน
จริตต่ำกว่าขอทานสะพานเหลือง
เห็นประชาธิปไตยแผ่ในเมือง
ก็ปลุกเหลืองปลุกชมพูมาสู้แดง

ความวุ่นวายมิใช่แดงแสดงก่อน
ก็เหลืองสอนมิใช่หรือฮือเข้าแย่ง
เมื่อเลือกตั้งสู้ไม่ได้ก็ใช้แรง
ต้านสีแดงแรงเหลืองคือเรื่องโจร

รัฐบาลทำดีขยี้ทิ้ง
แล้วไปตั้งฝูงลิงมาห้อยโหน
เทวดาสูงนักแต่รักโจร
ให้เล่นโขนหรอกใครไปวันวัน

ไฉนเล่าเจ้าอำมาตย์พิฆาตรัฐ
ประชาธิปไตยขบกัดเอาหรือท่าน
นึกว่ารักประเทศไทยใจตรงกัน
กลับห้ำหั่นประเทศตนจนจนมุม

เพราะรักแต่ครอบครัวหัวจึงปั่น
บ้านเมืองดีฉับพลันก็ดันกลุ้ม
ก็เจ้ามือกินรวบเคยควบคุม
พอเกิดมุมประชาธิปไตยใจไม่ยอม

เลือกรัฐบาลย่ำเท้าเอาแต่ดูด
ตามหลักสูตรของคุณพ่อผู้หล่อหลอม
ให้เหมือนกันทั้งแผ่นดินจึงยินยอม
ความหลากหลายรายล้อมไม่ต้องการ

แล้วบ้านเมืองเดินไปอย่างไรเล่า
ชาวโลกเขาก้าวหน้ามหาศาล
มายึดเอาอวิชชาเป็นปราการ
รัฐบาลปัญญาอ่อนหลอกหลอนคน

เผด็จการนิยมใช้ไพร่โง่โง่
ที่วางก้ามยโสแต่ฉ้อฉล
เป็นลูกน้องสามานย์ของพาลชน
และยกตนข่มท่านตามสันดาน

สูตรนี้หรือคือไทยในวันนี้
หกสิบสี่ล้านคนไม่พ้นผ่าน
ความฉิบหายใกล้เข้ามาเห็นอาการ
จะวายปราณกันทั้งเมืองเหลืองทั้งตัว

อย่ามุ่งไล่รัฐบาลเป็นงานหลัก
เขามีคนปกปักต้องมองทั่ว
จะรุผึ้งต้องทั้งรังอย่านั่งกลัว
ตีแต่หัวหรือปลายตายอยู่ดี

รัฐบาลผลาญชาติอำมาตย์ชอบ
เพราะเสริมส่งซึ่งระบอบที่กดขี่
ประชาชนหมดสิ้นเขายินดี
ยิ่งไม่มีแต้มต่อยิ่งพอใจ

จะทนทานต่อไปทำไมหรือ
จงออกไปไว้ชื่อมิใช่ไพร่
พลเมืองเต็มอัตราประชาไทย
ต้องร่วมไล่ปวงอำมาตย์ชาตินรกานต์.

----------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

บทเรียนจากเมียนมาร์ โดย จักรภพ เพ็ญแข


โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 38

*****************************************************************************
บทเรียนจากเมียนมาร์

หลังจากประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมาร์ภายในพุทธศักราชนี้ โดยมิได้ระบุวันเวลา ระบอบเผด็จการทหารเมียนมาร์ก็ออกข่าวเมื่อเดือนมกราคมว่า นางอองซานซูจี ผู้นำฝ่ายค้านและผู้ก่อตั้งสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (The National League of Democracy: NLD) จะได้รับอิสระทันทีที่คำสั่งจำคุกในบ้านของเธอสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายนปีนี้

ต่อมาไม่กี่วันก็ปล่อยตัว ถิ่นอู ผู้เป็นหมายเลข ๒ ของ NLD เป็นอิสระ ถิ่นอูผู้นี้เป็นอดีตนายทหารยศนายพลที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญกล้าหาญต่างๆ มากมาย แต่ด้วยความที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ก็แตกร้าวอย่างหนักกับทหารยศสูงคนอื่นๆ จนถูกบังคับให้ออกจากราชการก่อนเกษียณ พอถึง พ.ศ.๒๕๒๗ มาร่วมก่อตั้ง NLD กับนางซูจี ทีนี้เข้าคุกเลยทีเดียว รวมเวลาเทียวเข้าออกจากคุกและการถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านจากบัดนั้นเป็นต้นมานับสิบปี ครั้งล่าสุดก่อนจะได้รับอิสรภาพนี้ก็คือ ๖ ปีเต็ม

เดินก้าวแรกออกมาจากคุก ถิ่นอูในวัย ๘๒ ปีที่ยังแข็งแรง ให้สัมภาษณ์ทันทีว่าเขาจะเดินสายเดิมคือประชาธิปไตยต่อไปอย่างไม่เหลียวหลังหรือลังเล แต่ยังไม่ตอบชัดเจนว่า NLD ซึ่งมีสมาชิกระดับนำอยู่ในคุกมากมายหลายร้อยคน จะเข้าร่วมรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยหรือไม่

ความเคลื่อนไหวระยะนี้ทำให้ทั่วโลกอื้ออึงกันว่าดูจะมีแสงสว่างขึ้นบ้างในเมียนมาร์ ถึงขนาดที่ผู้แทนพิเศษขององค์การสหประชาชาติ โทมัส โอจี ควินตาน่า วางแผนเดินทางไปยังเมียนมาร์ทันที่รู้ข่าว เพื่อประเมินว่าระบอบประชาธิปไตยและการปฏิรูปการเมืองในเมียนมาร์มีโอกาสจริงตามข่าวหรือไม่

โดยส่วนตัวแล้วผมไม่เชื่อเลยว่า ระบอบทหารของเมียนมาร์จะโอนอ่อนผ่อนตามแรงกดดันสากลจริง เพราะถ้าจะยอมก็คงยอมมานานแล้ว การคว่ำบาตรเศรษฐกิจก็เนิ่นนานมากว่าสิบปีแล้ว และแม้จะเกิดความขัดแย้งแรงๆ ในหมู่ผู้นำอย่างคราวพลเอกขิ่นยุ้นต์ถูกจับและติดคุกยาวอยู่ในขณะนี้ ก็ยังรวมสังขารกันติด ความปีนเกลียวระหว่างพลเอกอาวุโสตานฉ่วยกับผู้นำหมายเลขสองและสามอย่างหม่องเอและตุระฉ่วยมานก็เป็นเพียงข่าวลือ ทั้งนี้ก็เพราะเมียนมาร์ไม่เปิดประตูสู่โลกอย่างแท้จริง ไม่สนใจจะเป็นโลกาภิวัตน์กับใคร และเลือกคบประเทศที่เอื้อประโยชน์โดยตรงและเป็นประโยชน์ในปัจจุบันอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มาตั้งฐานทัพใหญ่ใกล้นอปิดอว์-นครหลวงใหม่

แรงกดดันระหว่างประเทศจึงไม่ระคายผิวหนาๆ ของเผด็จการทหารในเมียนมาร์
การปรับตัวคราวนี้จึงน่าจะเป็นความพยายามป้องกันความขัดแย้งภายในหมู่ผู้นำที่อาจเกิดได้ในอนาคตมากกว่า เพราะหากปล่อยให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกาน้ำใกล้ระเบิด อาจกระเทือนถึงตัวผู้นำได้เหมือนเมื่อคราวขิ่นยุ้นต์ ซึ่งแม้จะมีความผิดฐานฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ก็มีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการปล่อยตัวนางอองซานซูจีอยู่ด้วย ประกอบกับสุขภาพที่ไม่สู้ดีนักของตานฉ่วย ที่อาจเป็นเหตุให้คนคิดการใหญ่กันได้เหมือนคราวตะเบงชะเวตี้จะสิ้นพระชนม์ ก็นำมาสู่นโยบายลดอุณหภูมิ

ถามว่าอยู่ใกล้กันขนาดมีชายแดนร่วมเกือบ ๑,๘๐๐ กิโลเมตร การเมืองที่เข้าสู่ทางตันของไทยจะนำบทเรียนอะไรจากเมียนมาร์มาใช้ได้บ้าง?

ประการแรกเลยก็คือ หากเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทยคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่าจะเอาอย่างเมียนมาร์ด้วยการปิดประเทศบ้าง ก็ขอบอกเอาบุญว่าไม่มีทาง เมียนมาร์ตลอดเส้นทางอันยาวนานหลังจากได้รับเอกราช คือรัฐที่ใช้อุดมการณ์เศรษฐกิจการเมืองฝ่ายซ้ายคือสังคมนิยมมาโดยตลอด ไม่ใส่ใจต่อระบบทุนนิยมเลย ถึงขนาดมีลัทธิของตัวเองคือ “สังคมนิยมตามแนวทางแบบพม่า” หรือ “Burmese Way of Socialism” และใช้อำนาจเผด็จการทหารปกป้องแนวคิดเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะสถาบันระดับสูงและสถาบันทหารที่ปกป้องสถาบันระดับสูง มีวิสัยเป็นทุนนิยมมาตั้งแต่ต้น ถึงขนาดลงทุนตั้งบริษัทที่มุ่งทำกำไรสูงสุดจากประเทศที่ตนมีอำนาจอยู่ แม้รัฐวิสาหกิจก็มีแนวคิดทุนนิยมอนุรักษ์จนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจถูกเรียกว่า กรรมกรศักดินา กันถ้วนหน้า และคนระดับสูงของไทยก็กางปีกปกป้องรัฐวิสาหกิจราวกับไข่ในหิน อย่างคราวที่เกือบจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อหยุดยั้งการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่อำมาตย์รวมหัวกันหากินและได้รับประโยชน์ส่วนตน ในขณะที่รีบผลักดันการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอีกแห่งหนึ่งคือ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ให้เป็นรูปบริษัท เพราะอำมาตย์ระดับสูงสุดมีผลประโยชน์โดยตรงจากการถือครองหุ้นและการซื้อขายหุ้นในระดับโลก

เช่นเดียวกับสถาบันทหารที่ได้รับผลประโยชน์จากภาคธุรกิจที่ได้รับการเอื้อเฟื้อจากรัฐอีกต่อหนึ่ง ต่างก็เป็นนายทหารหาเงินก่อนเกษียณอายุราชการกันทั้งสิ้น ฝ่ายอำมาตย์ไทยจึงไม่มีอะไรจะอ้างได้ในการปิดประเทศ ทหารของชาติที่อำมาตย์ใช้เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยหรือ รปภ.ส่วนตัวก็เป็นผลผลิตของทุนนิยม เกิดแก่เจ็บตายอยู่ในระบบทุนนิยมเหมือนกัน

ประการที่สอง ระบอบเผด็จการเมียนมาร์ออกมาแสดงบทบาทผู้กุมอำนาจโดยตรง ต่างจากฝ่ายไทยที่ใช้ระบบร่างทรง (proxy) ในรูปของกองทัพแห่งชาติ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ทำให้เมื่อถึงคราววิกฤติหรือสงครามระเบิดขึ้น ฝ่ายประชาธิปไตยไม่มีตัวจริงที่จะนั่งเจรจากับตนได้ มีแต่ร่างทรงและตัวแทนที่ไม่มีอำนาจจริง ไม่มีทางบรรลุข้อตกลงได้ ในขณะที่ฝ่ายค้านเมียนมาร์ มหาอำนาจที่คว่ำบาตรเมียนมาร์ มหาอำนาจที่สนับสนุนเมียนมาร์ องค์การสหประชาชาติ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างรู้ว่าศูนย์อำนาจของระบอบเผด็จการทหารของเมียนมาร์อยู่ที่ใด คือมีคู่เจรจา (counterpart) ถึงจะยังไม่อาจตกลงกันได้ แต่ก็มีทิศทางและความหวังที่จะตกลงกันได้ในอนาคต ส่วนอำมาตย์ไทยซ่อนตัวอย่างมิดชิด ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองและความเป็นคนดีเสมอไป ในที่สุดเมื่อถึงคราววิกฤติ จะไม่สามารถแสดงบทบาทใดๆ ได้อย่างสะดวกเลย ฝ่ายประชาธิปไตยจะเดินทางสู่จุดที่ไม่มีทางเลือกและต้องทำลายอุปสรรคเหล่านั้นลงไป ซึ่งก็คือการทำสงครามชนชั้นอย่างที่ไม่น่าจะเป็น

การซ่อนตัวของอำมาตย์ไทยจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การเผชิญหน้าเที่ยวนี้รุนแรงถึงเลือดถึงเนื้อ

ประการสุดท้าย นางซูจีเคยผ่านการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวเมื่อราวยี่สิบปีก่อน ความนิยมใดๆ ที่นางและ NLD มี บัดนี้จางไปตามกาลเวลาจนคนทั่วโลกและชาวเมียนมาร์เองไม่แน่ใจเสียแล้วว่ายังได้รับความนิยมขนาดจะเป็นรัฐบาลบริหารประเทศอยู่หรือไม่ อย่าลืมว่านางไม่เคยมีโอกาสพิสูจน์ตัวเองซ้ำอีกเลยตั้งแต่บัดนั้น ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับเลือกตั้งในปี พ.ศ.๒๕๔๔ และได้รับเลือกตั้งซ้ำอย่างหนักแน่นกว่านั้นในปี พ.ศ.๒๕๔๘ หลังจากเหตุวุ่นวายทางการเมืองมาก็ได้รับเลือกตั้งครั้งที่สามในปี พ.ศ.๒๕๔๙ และได้รับเลือกตั้งท่ามกลางอำนาจเผด็จการทหาร-หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ.๒๕๕๐ อีก จนคนทั่วโลกและทั่วประเทศยอมรับว่าได้รับความนิยมจริง ความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลจึงมีสูง เมื่อถูกกีดกันและถูกทำลายลง กระแสต่อต้านจึงค่อยๆ แรงขึ้นด้วยความชอบธรรมที่มีนั้นเอง จนบัดนี้กลายเป็นขบวนประชาธิปไตยที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยกดไม่ลงอีกต่อไป

ผมคิดว่ากรณีเมียนมาร์และนางซูจีสอนอะไรกับเรามาก ส่วนใหญ่เป็นบทเรียนในด้านกลับให้รู้ว่าฐานประชาธิปไตยของเรามีความมั่นคงและเสถียรกว่าเมียนมาร์มากนัก การที่อำมาตย์ฝันจะย้อนกลับไปเป็นเมียนมาร์จึงเป็นฝันกลางวันของเขาที่เราไม่ต้องกังวล.

---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

TPNews ขอเชิญสมัครสมาชิกข่าว SMS

***TPNews ขอเชิญผู้มีหัวใจรักประชาธิปไตยทุกท่าน สมัครเป็นสมาชิกข่าวสั้นผ่านมือถือ (SMS) เพื่อนำรายได้ช่วยสนับสนุนการต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย***

***TPNews (Thai People News) : ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-456 6794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)***


*******************************************************************************

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 24 นายกฯ บูชายัญ


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 24 : นายกฯ บูชายัญ
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*****************************************************************************
เมื่อฝ่ายเราดีสุดยอด ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องเลวสุดขีดชนิดหาดีไม่พบ ก็เท่านั้นเอง

*****************************************************************************

นายกฯ บูชายัญ

เห็นเขาทำกับคุณทักษิณฯ ในขณะนี้แล้ว อดนึกไม่ได้ว่ามนุษย์ยังไม่พ้นจากความมืดมิดแห่งลัทธิบูชายัญเอาเสียเลย

ก่อนที่จะเรียกตัวเองอย่างโก้หรูหราว่ามีอารยธรรม มนุษย์ทุกซีกโลกไหนผ่านขั้นตอนนี้มาแล้วทั้งนั้น มากน้อยไปตามความเข้มข้นของอวิชชาและปัญญา นั่นคือโทษคนอื่นว่าเป็นสาเหตุแห่งความผิดของตน

แม้กระทั่งความผิดตามธรรมชาติที่ไม่มีใครก่อ แต่ทำใจยอมรับไม่ได้ ก็จะหาใครสักคนให้รับผิดแทน

แนวคิดนี้เรียกว่า การบูชายัญมนุษย์ หรือ human sacrifice ซึ่งเก่าแก่เต็มทน

ถ้าจะมองหาจุดอ่อนของนายกรัฐมนตรีแต่ละคนกันจริงๆ จังๆ ย่อมจะหาพบ เพราะปุถุชนนั้นยังมิใช่พรหม กว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้ มักจะต้องผ่านความสำเร็จ ความล้มเหลว ความถูกต้อง และความผิดพลาดมาแล้วทั้งนั้น

เหมือนใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องเข้าไปเป็นเจอเชื้อโรคทุกที แต่ร่างกายนั้นก็ไม่ตาย อยู่ได้ต่อมา

เพราะอะไร?

ก็เพราะร่างกายมีทั้งเชื้อโรคฝ่ายที่เป็นคุณประโยชน์ต่อร่างกาย และเชื้อโรคชนิดที่เป็นโทษ เมื่อใดที่เชื้อชนิดเป็นโทษมีอิทธิฤทธิ์มากกว่า ร่างกายนั้นก็จะป่วย แต่ถ้าฝ่ายดีมีมากกว่า ร่างกายก็จะต่อสู้ต้านทานอะไรต่อมิอะไรได้เป็นปรกติ

เหมือนกันเลยครับ จะประเมินนายกรัฐมนตรีก็ต้องดูเชื้อโรคฝ่ายมีประโยชน์และฝ่ายที่เป็นโทษไปพร้อมกัน แล้วชั่งน้ำหนัก

ถ้าฝ่ายทำโทษมีมากกว่าอย่างมีหลักฐานพิสูจน์ได้ ไม่ใช่ข่าวลือและไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อแบบทำลายล้าง นายกรัฐมนตรีนั้นก็จะป่วย

ถ้าคุณประโยชน์ที่กระทำมองเห็นได้ชัด มีคุณภาพและปริมาณที่สูงกว่าฝ่ายที่ทำโทษ ต้องถือว่านายกรัฐมนตรีนั้นปรกติ ควรเลิกคิดลำหักลำโค่นกันเสียที

แต่คนที่ชอบจับคนด้วยกันมาบูชายัญจะไม่คิดอย่างนั้น

เจอผู้หญิงที่มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง แข็งขืนต่อกระแสของสังคมที่ชอบบังคับให้ผู้หญิงต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ก็จะเอะอะว่าเป็นแม่มด มีอำนาจฝ่ายชั่วลึกลับต่างๆ มากมาย จับตัวไปเผาไฟทั้งเป็นมาไม่รู้จักเท่าไหร่

บางที่ในโลกจับตัวผู้หญิงมาขึงพืดไว้ให้คนใช้ก้อนหินขว้างจนขาดใจตาย เหมือนเรื่องสั้นคลาสสิคเรื่อง The Lottery ของเชอร์ลี่ย์ แจ็คสัน

อวิชชาของคนที่คิดอะไรแบบนี้คือ โลกแบ่งออกเป็นคนดีและคนไม่ดีอย่างชัดเจน ไม่ยอมรับว่าคนจริงๆ มักจะเป็นสีเทา ไม่ใช่ดำและขาว มีดีและไม่ดีคละเคล้ากันไปเสมอ

ที่น่าขำคือมักจะกันตัวเองว่าเป็นฝ่ายดีสุดขั้วเสียด้วย ไม่เคยคิดว่าตัวบกพร่องอะไรเลย

เมื่อฝ่ายเราดีสุดยอด ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องเลวสุดขีดชนิดหาดีไม่พบ ก็เท่านั้นเอง

นำมาสู่ความคิดบูชายัญ จับมันมาลงโทษขั้นอุกฤษฏ์เสีย เราจะได้รักษาความดีอันไม่มีข้อด่างพร้อยของเราได้ต่อไป

อวิชชาก็ดำเนินไปข้างหน้า โง่เง่าอย่างไม่รู้จบ บางทีไปสำนึกตัวได้ตอนใกล้จะลงโลง ต้องทำบุญทำทานชดเชยเป็นการใหญ่

ถึงเวลาหรือยังครับที่แนวคิดบูชายัญต้องหยุดลงเสียที เราจะได้เป็นอารยะกันอย่างที่อยากเป็น

ไม่มีแม่มดหรือพ่อมดนอกกายหรอกครับ มีแต่ของที่อยู่ในใจแต่ละคนที่มีส่วนดำมืดอยู่บ้าง ก็ต้องจัดพิธีฌาปนกิจส่วนนั้นของตัวเอง

ไม่ต้องบอกใครก็ยังไหว.

----------------------------------------------------------------------------------

คำต่อคำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร : เกร็ดชีวิต ตอนที่ 4


โดย : พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ที่มา : รายการทอล์ค อะราวด์ เดอะ เวิลด์ # 25
เรียบเรียงจากการออกอากาศ วันพุธที่ 10 ก.พ. 53 โดย Nangfa

****************************************************************************

เกร็ดชีวิต : ตอนที่ 4


เมื่อวานเล่าเรื่องเอาหุ้นเข้าตลาดและวิธีการเพิ่มทุน และเรื่องการลงทุนตึกชินฯ 1, ชินฯ 2, ชินฯ 3 มีทฤษฎีบอกว่าอย่าเก็บไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นไข่แตกทั้งตะกร้า ไม่มีอะไรเหลือ ซึ่งผมขอเล่าตัวอย่างให้ฟังอีกคนหนึ่ง

มีฝรั่งคนหนึ่งมีเงินเข้าใจว่า 500 กว่าล้านเหรียญ ก็เอาไปให้เรแมน บราเดอร์ บริหาร ได้ปันผลมา มีความรู้สึกว่ากิจการดีมาก กำไรดี ก็ส่งเงินไปให้บริหารอีก ในที่สุดอยากซื้อบ้านสวยๆ ก็ไปซื้อบ้าน อยากซื้อรถสปอตก็ไปซื้อรถสปอต ทุกอย่างผ่อนหมดเพื่อเอาเงินไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าที่ไปผ่อนเขา พอเรแมนฯ ล้ม แกหมด ทีนี้ทั้งบ้านทั้งรถก็ต้องผ่อน แล้วจะเอารายได้ที่ไหนมาผ่อน เพราะเงินไปลงทุนเรแมนฯ หมด นั่นคือการเอาไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน ในที่สุดก็หมดตัว ซึ่งหลายคนเคยหมดกับนกแก้วชม้อยมาก็คล้ายๆ อย่างนี้

เหมือนกัน วันนี้ผมจึงระมัดระวังว่าจะเก็บทรัพย์สินอย่างไรดี

เอาไปลงทุนในทรัพย์สินที่มองเห็นชัดเจน เป็นรูปธรรมชัดเจน แต่ขายยากหน่อย ก็คือ ที่ดินบ้าง ตึกบ้าง
ก็มีหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ครอบครัวก็มีหุ้นอยู่ ซึ่งเป็นอะไรที่ซื้อง่ายขายคล่อง
อีกส่วนก็ต้องเก็บเงินสดไว้ เผื่อเราจะไปลงทุนอย่างอื่น ซื้ออย่างอื่น ไปดำรงความสุขในชีวิตบ้าง

ก็แบ่งเป็นเงินสด หุ้น ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ เห็นไหมครับว่าเราต้องกระจาย อย่าเอาทุกอย่างไปไว้ที่เดียวกัน พอถึงเวลามันมีปัญหา คนเราบางทีทฤษฎีก็แม่น แต่ปฏิบัติไปๆ มาๆ ก็พลาดเหมือนกัน เหมือนครอบครัวผม ความที่รักชาติมาก ขายกิจการเสร็จได้เงินสดเข้ามาเป็นเงินต่างประเทศ แทนที่จะเก็บไว้เมืองนอกบ้างไว้เมื่องไทยบ้าง แต่ความรักชาติเอาเก็บเข้ามาเมืองไทยหมดทุกบาททุกสตางค์ ก็เลยเป็นประเด็นกล่าวหาเรื่องภาษีบ้าง แล้วในที่สุดก็ถูกอายัดอยู่ในประเทศไทย ถ้าเป็นคนที่ไม่ต้องรักชาติมาก เก็บไว้เมืองนอกบ้าง เอาเข้ามาบ้างก็ไม่เดือดร้อนเหมือนที่โดนวันนี้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่ทำพลาดก็ต้องยอมรับว่าพลาด ก็เล่าให้ฟัง

หลังจากที่ผมทำธุรกิจอยู่ตัวแล้ว ตอนปี 35 มีตังค์ร่วมหมื่นล้านแล้ว ครอบครัวมีหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีตึก มีที่ดิน บังเอิญช่วงนั้นผมกับ “คุณชวน” ก็พอคุ้นเคยกัน ก่อนเลือกตั้งปี 35 หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬก็มีการเลือกตั้ง เมื่อคุณอานันท์ฯ มาเป็นนายกฯ รอบ 2 หลังจากนั้นก็เลือกตั้ง ช่วงหาเสียงเลือกตั้งผมก็ได้คุยกับนายกฯ ชวน, คุณนิพนธ์, คุยกับคุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ เพราะตอนนั้นผมยังไม่ได้เข้าการเมืองพรรคไหนเลย ก็มาชวนผมว่ามาเข้าพรรคประชาธิปัตย์ดีกว่า ผมก็บอกยังไม่พร้อม ตอนนั้นยังไม่ค่อยอยากเข้า แต่ก็คันๆ อยู่เหมือนกัน ก็ยังไม่ได้เข้าแต่ก็ไปช่วยทำโพลล์ ให้พรรคประชาธิปัตย์วันนั้น คุณชวนก็ได้เป็นนายกฯ

ผมไปมาหาสู่กับพรรคประชาธิปัตย์และคุณชวนอยู่พักใหญ่ๆ จนถึงปี 37 ช่วงนั้น พล.อ.ชวลิต ออกไปอยู่พรรคความหวังใหม่ซึ่งก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลของคุณชวนอยู่ ก็มาชวนผมว่าเล่นการเมืองไหม มาอยู่ความหวังใหม่ไหม ผมก็ไปคุยกับท่าน ท่านให้ผมไปเป็นรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งผมก็ยังไม่แน่ใจ ยังไม่กล้าตัดสินใจ ยังไม่กล้าขอคุณหญิงฯ ในตอนนั้น ช่วงเดียวกันนั้นมีข่าวตลอด คุณจำลองก็อยู่ระหว่างการจะปรับครม. ของคุณจำลอง ซึ่งเข้าใจว่ามีโควต้าของพรรคพลังธรรมอยู่ คุณจะลองก็หาตัวคนเปลี่ยนหมดเรียบร้อย ยกเว้นตำแหน่งเดียว คือกระทรวงการต่างประเทศ ที่คุณประสงค์ สุ่นศิริ เป็นรัฐมนตรีฯ อยู่ตอนนั้น ยังหาใครเปลี่ยนไม่ได้ กติกาของคุณจำลองที่คิดขึ้นมาเองว่าจะเปลี่ยนรัฐมนตรีหมดทุกคน ไม่มีคนเก่าเหลืออยู่เลย ยกเว้นกระทรวงการต่างประเทศเพราะยังไม่มีคนเปลี่ยน

อยู่มาวันหนึ่ง คุณจำลอง ใส่ชุดม่อฮ่อม รองเท้ายาง เดินมาหาผมที่ตึกราชวัตร ชวนว่าให้ไปเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศให้หน่อยได้ไหม? ผมก็เป็นคนชอบเรื่องการต่างประเทศมาก และคิดว่าเป็นกระทรวงที่ไม่มีผลประโยชน์ เราเป็นนักธุรกิจ ถ้าเริ่มต้นที่กระทรวงที่ไม่มีผลประโยชน์จะดูดีกว่า และเราก็ชอบด้านการต่างประเทศ ก็เลยคันเป็นพิเศษ รีบไปปรึกษาคุณหญิง คุณหญิงใจก็ไม่อยากให้เป็น เพราะไม่ชอบ ให้เล่นการเมือง แต่ผมก็คิดว่าทำงานมาสำเร็จหมดแล้ว ชีวิตครอบครัวก็โอเคแล้ว ธุรกิจก็เข้มแข็งแล้ว อยากเป็นนักการเมือง พอดีมีข้อเสนอมา คุณหญิงก็ไม่รู้จะฝืนใจยังไงก็เลยยอม

ผมเลยตัดสินใจมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ปรากฏคุณจำลองก็ดีใจ ประกาศปรับครม. ทุกตำแหน่งของโควต้าพลังธรรม ดร.วิชิตฯ ก็ไปเป็นรัฐมนตรีคมนาคมก็หน้าใหม่ คุณสุดารัตน์เป็นรัฐมนตรีช่วยคมนาคมก็หน้าใหม่ ผมไม่รู้ว่า คุณประสงค์ สุ่นศิริ โกรธแค้นมากที่เคยเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศแล้วไม่มีใครมาเปลี่ยน จู่ๆ ผมมาเปลี่ยน ซึ่งผมไม่รู้เรื่องจริงๆ เพราะเป็นเรื่องภายในของพลังธรรม ในเมื่อคุณจำลอง-เจ้าของพรรคเขาจะเปลี่ยนและมาชวนผม ผมก็รับไปโดยที่ไม่ได้คิดว่าไปเตะคุณประสงค์ ทำให้โกรธแค้นมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ก่อนเป็นนั้น คุณชวนเคยชวนผมเข้าไปร่วมในพรรคประชาธิปัตย์แล้วผมปฏิเสธ แต่พอปี 37 ก่อนที่คุณชวนจะเดินทางไปอเมริกา แคนาดา ผมไปขอพบคุณชวน ซึ่งปกติผมขอพบคุณชวนจะให้พบทันที แต่วันนั้นคุณชวนบอกว่าจะต้องเดินทาง ไม่มีเวลาเลย กลับมาค่อยพบกัน ผมก็พูดไม่ออก พยายามพูดทางโทรศัพท์ว่าโดยมารยาทผมต้องไปบอกคุณชวนก่อน ระหว่างที่คุณชวนไม่อยู่คุณจำลองก็มาถามแล้วถามอีกจนผมตอบรับ พอคุณชวนกลับมาถึงก็ไม่ค่อยพอใจ เชิญผมไปพบที่บ้านพิษณุโลกกับคุณวิศณุ (ตอนนั้นเป็นเลขาฯ ครม.) ในที่สุดคุณจำลองก็มีการพูดว่าจะให้ผมเป็นหรือไม่ให้เป็น ผมก็บอกว่าถ้าท่านไม่อยากให้ผมเป็นก็บอกตรงๆ มาเลย ผมจะได้ไม่เข้า แต่ท่านก็ไม่กล้าพูดอะไร ผมก็เข้าไป คุณจำลองก็ปรับครม. คุณชวนเลยต้องเซ็นเข้ากราบบังคมทูลฯ

ผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอยู่ 105 วัน ผมก็ขยันทำงาน ไปต่างประเทศไปโน่นไปนี่ เช่าเครื่องบินบ้าง อะไรบ้าง สารพัดอย่างเพื่อให้งานมันเดินได้รวดเร็วทันใจ หลังจากนั้นไม่นานก็มีการบีบจนผมต้องลาออก เพราะว่าเข้าผิดพรรค พอผมลาออกช่วงนั้นยังไม่มีการเลือกตั้ง เนื่องจากพรรคพลังธรรมก็ยังอยู่ต่อไป หมอกระแสฯ มาแทนผมในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศ

ผมออกมาอยู่เฉยๆ พักหนึ่ง ตอนผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศผมเป็นสมาชิกพรรคพลังธรรม เพราะคุณจำลองบอกว่าเงื่อนไขการเป็นรัฐมนตรีคือเป็นสมาชิกพรรค ผมก็เป็น ตอนช่วงนั้นผมก็ต้องประกาศบัญชีทรัพย์สินเพราะเป็นเงื่อนไขของพรรคพลังธรรม โดยที่กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนั้นยังไม่บังคับว่าทุกคนต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน แต่คุณจำลองบอกว่าคนเป็นรัฐมนตรีโควต้าพรรคพลังธรรมต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน ผมก็เลยต้องเปิดเผยด้วย ซึ่งตอนนั้นก็ทำความอึดอัดให้กับครอบครัวพอสมควร เพราะเราเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างจะ Low Profile การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินก็ต้องโชว์ว่ามีเงินสดเท่าไหร่ มีที่ดินเท่าไหร่ มีหุ้นเท่าไหร่ ตอนนั้นราคาหุ้นก็ใช้ได้ ราคาหุ้น+เงินสด+ที่ดินขณะนั้นก็แสดงว่ามีทรัพย์สินอยู่ประมาณ 60,000 กว่าล้าน (ปี 37) และก่อนหน้านั้น ทางฟล็อบแม็คกาซีนก็ลงไปว่าเมื่อเดือนก.ค. ผมมีมูลค่าทรัพย์สินของครอบครัวอยู่ประมาณ 2.2 มิลเลียน US ก็ประมาณ 50,000 กว่าล้านบาท (ดอลล่าร์ละ 25+) แต่ตอนนับราคาหุ้นช่วงเดือน พ.ย. ก็พบว่ามีประมาณ 64,000 ล้านบาท

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ครอบครัวจะมีเงิน 70,000 กว่าล้านในปัจจุบัน ราคาหุ้นก็ขึ้นๆ ลงๆ ไปตามเศรษฐกิจ แต่ระหว่างทางนั้นหุ้นจะขึ้นจะลงเราก็ได้เงินปันผล และเงินที่มีอยู่ฝากแบงค์ก็ได้ดอกเบี้ย เพราะฉะนั้นก็เป็นทรัพย์สินที่ได้หากันมาจนมีตังค์แล้วจึงคิดว่าควรจะทำงานให้กับบ้านเมือง สังคม และประชาชนบ้าง จึงตัดสินใจไปทำงาน แต่ก็เกิดความหมั่นไส้ไม่พอใจ ขัดแย้งกันมาตรงนั้นตรงนี้ ตามประสาแบบไทยๆ กันมาพอสมควร

เดือนก.พ. ปี 38 ผมยังจำได้ว่าหลังวันสราญรมย์ (ประมาณวันที่ 10 ก.พ.) ถ้าครั้งหนึ่งเราเป็นสมาชิกสราญรมย์ถือว่าเราเป็นสมาชิกตลอดไป ก็คือคนที่เป็นทูตหรือรัฐมนตรีของกระทรวงการต่างประเทศ ผมก็ถือเป็นสมาชิกสราญรมย์ แต่เดี๋ยวนี้ธรรมเนียมตรงนี้หายไปหมดแล้ว ทำลายโดยคนสราญรมย์เอง ก็น่าเสียดาย

พอปี 38 ต้นปี เดือนก.พ. ผมลาออกจากรัฐมนตรีต่างประเทศก็ไม่ได้ทำอะไร จนถึงเดือนพ.ค. ก็มีเรื่อง สปก.4-01 ทำให้คุณจำลองต้องถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลคุณชวน คุณชวนจึงยุบสภาเลือกตั้งใหม่ คุณจำลองมาขอร้องผมว่าท่านไม่เอาแล้ว ขอให้ผมเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมแทน ผมคิดอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจ เพราะบรรดาคนที่เป็นรัฐมนตรีด้วยกันก็มาขอร้องว่าอย่าทิ้งพรรคเลย ช่วยกันหน่อย ซึ่งวันนั้นพรรคพลังธรรมก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พรรคประชากรไทยกำลังขึ้นมา ผมถูกขอร้องให้เป็นหัวหน้าพรรค

ผมเป็นหัวหน้าพรรคก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง 6 วัน เตรียมตัวอะไรก็ไม่ทัน ส่งคนก็ไม่ทัน และกฎหมายฉบับนั้นบังคับว่าพรรคการเมืองหนึ่งต้องส่งคนอย่างน้อย 120 คน เราก็ส่งตัวจริงบ้างปลอมบ้าง เพราะมันหาไม่ทัน ผมก็วางแคมเปญหาเสียงโดยใช้วิธีการตลาดเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก เป็นภาพที่ผมชี้มือ ถ่าย 150 กว่าภาพ คัดมาได้ภาพเดียว ปรากฏว่าเป็นภาพที่ขายดีโด่งดังในกรุงเทพฯ ในที่สุดเราก็ชนะเป็นที่ 1 ในกรุงเทพฯ ชนะประชากรไทยซึ่งคิดว่าจะเป็นที่ 1 ได้ส.ส.มา 16 คนในกรุงเทพฯ ได้ต่างจังหวัดมา 5-6 คน ก็ได้ร่วมรัฐบาล คุณบรรหารเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 38

ช่วงนั้นถ้าท่านจำได้มีคนไปยิงตัวเองในตลาดหลักทรัพย์ ดัชนีหุ้นเคยขึ้นไปถึง 1400 แล้วก็ตกลงมา ตอนนั้นหุ้นกลุ่มบริษัทของครอบครัวผมก็มีมูลค่าสูง เพราะหุ้นขึ้นสูง ตอนนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองเรื่องเศรษฐกิจเริ่มไม่ค่อยดีแล้ว ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศขาดดุลถึง 8.1% ของ GDP คนมองว่าเศรษฐกิจไม่ไหวแล้ว ค่าเงินแข็งเกินไปอาจจะต้องลดค่าเงิน

ตอนนั้นผมเป็นรองนายกฯ คุณบรรหารให้คุมด้านจราจร มีโอกาสทำงานร่วมกับคุณสมัคร คุณสมัครคุมกรมทางหลวง คุณบรรหารบอกว่าภายในขอบวงแหวนให้เป็นหน้าที่ของผมเรื่องจราจร ภายในวงแหวนก็ขึ้นอยู่กับกรมทางหลวงก็เป็นหน้าที่ของคุณสมัคร เราก็ช่วยกันทำงานแก้ปัญหาจราจร และถ้าท่านจำไม่ผิดเรื่องรถไฟใต้ดิน รอมา 17 ปีไม่มีใครกล้าตัดสินใจ ผมเป็นคนตัดสินใจเมื่อมีนาคมปี 39 หลังจากที่ผมเป็นรองนายกฯ คุมเรื่องจราจรมาได้ 6 เดือน จึงตัดสินใจเรียกให้ประกวดราคาทำรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งวิ่งอยู่ในปัจจุบัน หัวลำโพง-ห้วยขวาง แต่พอถึงการตัดสินใจว่าใครได้ไม่ได้นั้น ผมลาออกจากการร่วมรัฐบาลก่อน คนที่ตัดสินใจตอนนั้นก็คือท่านสมัครกับคุณชัยภัค ศิริวัฒน์ ซึ่งเป็นคนมาดูแลแทน

ในระหว่างที่ผมร่วมรัฐบาลคุณบรรหาร เข้าใจว่าคุณสุรเกียรติจะเป็นรัฐมนตรีคลัง เราก็มีการห่วงใยกันในเรื่องเศรษฐกิจว่าเงินบาทจะไปไม่ไหว เพราะการที่เราขาดดุลบัญชีเงินเดินสะพัดถึง 8.1% ของ GDP อันตราย และวันนั้นหม่อมเต่าเป็นปลัดกระทรวงการคลัง มีการประชุมเรื่องเศรษฐกิจ ผมก็ยกมือถามหม่อมเต่า ว่าวันนี้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดขนาดนี้ มีคนพูดกันว่าค่าเงินบาทอยู่ไม่ได้ มันเป็นว่าเราจะลดค่าเงินวันไหนเท่านั้นเอง ต้องลดแล้วล่ะ มีวิธีอื่นที่จะแก้ไขไหม

หม่อมเต่าบอกว่าเราต้องตัดรายจ่ายของภาครัฐลง เพราะไม่เช่นนั้นการขาดดุลมันจะขาดดุลหลายอย่าง ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุลการค้า และขาดดุลงบประมาณ ซึ่งอันตราย แต่ฝ่ายการเมืองไม่เอาด้วย ผมยังชมหม่อมเต่าว่าขอบคุณมากที่เป็นข้าราชการที่กล้าพูดต่อครม. ว่าให้ตัดงบประมาณ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามทฤษฎี ผมก็ฝากทุกพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลว่าควรจะตระหนักว่าควรอย่างยิ่งที่จะต้องลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ถ้าไม่เช่นนั้นค่าเงินบาทจะอยู่ไม่ได้ ผมเตือนตั้งแต่ต้นปี 39 สุดท้ายปลายปี 39 พล.อ.ชวลิตฯ มาเป็นนายกฯ ตอนนั้นผมไม่ได้ร่วมรัฐบาล ผมมาร่วมเมื่อค่าเงินบาทลดเรียบร้อยแล้ว เงินบาทลดวันที่ 1 ก.ค. 40 ผมเข้าร่วมรัฐบาลเมื่อ ส.ค. 40

ตอนระหว่างที่ผมออกจากคุณบรรหารไปแล้วเลือกตั้งใหม่แล้ว ผมไม่ได้เล่นการเมืองแล้วเพราะลาออกจากพลังธรรม หลังจากที่คุณบรรหารยุบสภาผมก็ลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังธรรม เพราะแนวทางไปด้วยกันไม่ได้ คุณชัยวัฒน์ฯ มาเป็นหัวหน้าพรรคแทน หลังจากนั้นคุณชัยวัฒน์ฯ ก็มาโจมตีผมทั้งๆ ที่ผมเป็นคนเลือกแกไปเป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรม เพราะผมเห็นแกจบวิศวะ เสร็จแล้วคุณชัยวัฒน์ก็ไปขัดแย้งกับ TPI ไม่รู้เพราะอะไร ทำให้ TPI มาขัดแย้งกับผมต่อพอผมเป็นหัวหน้าพรรค นี่คือความขัดแย้งที่สั่งสมกันมาเรื่อยจากการทำงาน

ในที่สุดช่วงที่ผมลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังธรรมแล้ว ยังไม่ได้เข้าไปเป็นรองนายกให้พล.อ.ชวลิตฯ ช่วงนั้นค่าเงินบาทยังไม่ลด ก็มีการประชุมกัน มีคุณชาตรี โสภณพนิช คุณชุมพล ณ ลำเลียง จากปูนซิเมนต์ไทย มีคุณสงวน จากศรีไทยปศุสัตว์ และคุณธนินท์ เจียรวนนท์, คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี, คุณอำนวย วีรวรรณ ก็เชิญผมไปร่วมด้วย ทานข้าวแถวภัตตาคารใกล้ๆ แบงค์กรุงเทพฯ สีลม ถามความเห็นกันว่าค่าเงินบาทควรจะลดหรือยัง คุณอำนวยตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีคลังให้พล.อ.ชวลิตอยู่ ผมก็บอกว่าถ้าเราไม่ลดก็จะมีการโจมตีค่าเงินบาท น่าเป็นห่วง ถ้าลดตอนนี้จะลดน้อย ไม่ลดฮวบฮาบ เพราะเราจัดการเอง แต่ถ้าถูกบังคับให้ลดต้องลดเยอะ จะเสียหายกันเยอะ

หลายคนในนั้นก็บอกว่ารอธันวาค่อยลดก็ได้ ยังไม่ต้องลดตอนนี้หรอก สุดท้ายก็เป็นการคุยหารือกันเฉยๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เศรษฐกิจก็ดำเนินต่อไป จนถึงเดือนก.พ. 40 เข้าใจว่าวันวาเลนไทม์ เป็นวันที่จอร์จ โซรอสเริ่มโจมตีค่าเงินบาท ปรากฏว่าทางฝ่ายเราไปคิดว่ามีเงินสำรองอยู่เยอะ โจมตีมาเราก็สู้ โดยเอาเงินสำรองไปสู้ สู้จนสู้ไม่ไหว อย่าลืมว่ากองทุนที่มันเก็งกำไรเขามีเงินสำรองเยอะกว่าเรา เพราะฉะนั้นก็ไปสู้กัน เพราะความไม่รู้และคิดว่าสู้ได้ แต่ไม่คิดว่าปัจจัยพื้นฐานของเรามีปัญหา สู้กันจนแพ้ เราพัง ที่เรียกว่าต้มยำกุ้งดีซีส ก็คือการที่เราถูกโจมตีจนหมด

ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่าระบบ BIBF ทำให้เงินไหลเข้าประเทศมากจากเงินกู้ ตอนนั้นคนไทยรวยจากเงินกู้เป็นส่วนใหญ่ เงินอยู่ในภาคเก็งกำไรเป็นส่วนใหญ่ เงินในภาคการผลิตมีแต่ไม่มากจึงไม่แข็งแรง การโจมตีจึงง่าย และเงินเป็นเงินกู้ระยะสั้น เจ้าหนี้ก็เลยเอาเงินออกนอกประเทศได้ง่าย ถึงเวลาเขาขอเงินคืนต้องคืนเขาไปจนเงินหมด เลยต้องเข้า IMF นี่คือที่มาที่บังเอิญผมได้อยู่ในเหตุการณ์รัฐบาลคุณบรรหาร ได้เห็นอาการไม่ค่อยดีจากตัวเลข ตัวเลขพวกนี้จะสอนเราหมดว่าควรทำอะไรไม่ควรทำอะไร เรื่องพวกนี้ต้องมีการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เข้าใจและทันเหตุการณ์

ช่วงที่ผมออกจากการเมืองแล้วยังไม่ได้ทำอะไร คราวหน้าจะพูดต่อว่าเป็นยังไงมายังไงจึงเข้าไปเป็นรองนายกฯ สมัยพล.อ.ชวลิตฯ และทำอะไรได้มากแค่ไหน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มเป๋ ทุกคนต้องปรับตัวหมด ผมจะเล่าว่าจะปรับตัวอย่างไร และวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อปี 40 ทำไมกลุ่มชินฯ จึงเข้มแข็งขึ้นมาได้เร็ว เราปรับโครงสร้างกันอย่างไร คราวหน้าจะเล่าเทคนิคการปรับโครงสร้างให้ฟัง เผื่อท่านจะนำไปปรับในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีช่วงนี้ เพื่อที่จะยืนใหม่ให้แข็งยังไง วันนี้ขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ.
----------------------------------------------------------------------------------