ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 5 หัวกระไดแห้ง


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 5 หัวกระไดแห้ง
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550

*********************************************************************************
ขอใช้สำนวนไทยโบราณต่อไปว่า วิกฤติที่แท้จริงในตอนนี้ของเมืองไทย คือแม้แต่เชิญมาล้างตีนเขายังไม่อยากมา
*********************************************************************************
หัวกระไดแห้ง

น่าสังเกตว่าก่อนจะเกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองระลอกนี้ เมืองไทยมีแขกเหรื่อจากนานาอารยประเทศมาเยี่ยมเยือนอย่างชนิดที่ต้องเรียกว่า หัวกระไดไม่แห้ง แต่มาบัดนี้หัวกระไดแห้งผาก ราวกับบ้านร้างก็ไม่ปาน

คนไทยสมัยโบราณช่างสังเกตและช่างเปรียบเทียบ เพราะเป็นคนมีภูมิปัญญาและละเอียดอ่อน บ้านไทยสมัยก่อนล้วนเป็นบ้านไม้ ส่วนใหญ่ก็ยกสูงเพื่อหนีน้ำ จึงมีใต้ถุน จะเข้ามาหรือปีนกระไดขึ้นไปหากันแต่ละครั้งก็ต้องหยุดหน้าบ้านเพื่อล้างตีนกันเสียก่อน เดินมาตีนเปล่าเพราะไม่มีรองเท้า จะให้ย่ำดินย่ำโคลนขึ้นไปบนบ้านเขาทั้งอย่างนั้นไม่ได้แน่ ความเกรงใจของเราลึกซึ้งลงไปถึงตีน

ล้างตีนกันบ่อยๆ หัวกระไดย่อมไม่แห้ง แต่บ้านที่ขาดไมตรี หรือใครๆ เขาไม่อยากไปมาหาสู่ ย่อมจะไม่มีใครมาล้างตีนที่นั่น เพราะไม่รู้ว่ามาหากันทำไม

อย่าหาว่าหยาบคายเลยครับ ขอใช้สำนวนไทยโบราณต่อไปว่า วิกฤติที่แท้จริงในตอนนี้ของเมืองไทย คือแม้แต่เชิญมาล้างตีนเขายังไม่อยากมา

โอกาสสุดท้ายของเราอาจจะเป็นเมื่อครั้งที่กษัตริย์ทั่วโลกเสด็จพระราชดำเนินมาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงครองราชย์มายาวนานและราบรื่นที่สุดในโลก แต่นั่นเป็นพระราชบารมีอันล้นพ้น จะไปขอพระราชทานจัดขนาดนั้นบ่อยๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้

คนไทยทั้งหลายต้องใช้ความอุตสาหะส่วนตัวในการคบหาสมาคมกับเพื่อนเอง ตั้งแต่ระดับรัฐบาลจนถึงกลุ่มบุคคลต่างๆ

ก็เลยมาแห้งกันตอนนี้เอง

ผมเคยฟังกลุ่มเพื่อนต่างชาติที่อยู่เมืองไทยกันมานานหลายปีจนรู้เช่นเห็นชาติ เขาตั้งวงวิจารณ์เมืองไทย โดยสรุปแล้วว่า “ถ้าจะคบเป็นเพื่อน จะเลือกคนไทยก่อนใครในโลก เพราะความละเอียดอ่อน มีน้ำใจ ห่วงหาอาทร ไม่มีใครอีกแล้วที่เกินหน้าคนไทย แม้แต่คนชาติของตัวเอง แต่ถ้าจะคบเพื่อทำงานต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จแล้ว เขาจะเลือกคนไทยหลังสุด เพราะคนไทยชอบชวนไปสนุกและทำงานแต่น้อย คุยงานอย่างจริงจังก็หาว่าซีเรียสไป แถมยังแยกไม่ได้เลยระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว”

ฟังแล้วก็ค้อนมันไปหนึ่งวง แต่ลึกๆ ก็ต้องยอมรับว่าจริง

สิ่งที่เกิดขึ้นกับเมืองไทยขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่คุณสนธิ จุดขยายที่พันธมิตรฯ และการขายหุ้นชินคอร์ป การเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๙ การลาออกจากรัฐบาลของลูกศิษย์ที่น่ารักทั้งหลายของอาจารย์ผู้ชาญฉลาด ฯลฯ เหล่านี้ต่างชาติเขาเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเมืองไทยทั้งสิ้น

น่าสังเกตว่ามีผู้ติดตามการเมืองไทยมาก แต่เข้ามาเจาะลึกในเรื่องเหล่านี้น้อยถึงน้อยที่สุด ผู้สื่อข่าวต่างประเทศอยู่ที่อาคารมณียากันเป็นกุรุส แต่พลโลกไม่ได้เข้าใจเพิ่มขึ้นเลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในเมืองไทยขณะนี้

พอไปปรารภกับสายอนุรักษ์นิยมในเมืองไทยเข้า ก็ตะคอกกลับมาว่าจะไปสนใจมันทำไม ต่างชาติมันใช่พ่อใช่แม่

ทั้งๆ ที่รายได้และรายจ่ายของประเทศส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการค้าเหนือพระราชอาณาเขตแล้วนะครับ เห็นได้จากตัวเลขของการทำเองและขายกันเองที่ลดลงเรื่อยๆ เพราะต้นทุนจากการนำเข้ามาเริ่มถูกกว่าผลิตเอง

รัฐบาลและบรรษัทต่างชาติที่เลื่อนการเดินทางมาไทยกันอย่างกับติดเชื้อโรค ก็เพราะเขาคิดว่าถ้ายังไม่เข้าใจการเมืองไทยอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วคงไม่คุ้ม ไม่รู้จะทำข้อตกลงเพื่อลงทุนทำการค้ากับใครดี ระหว่างคุณทักษิณ คุณสนธิ คุณบรรหาร หรือคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ

ควรไปคารวะฝ่ายตุลาการก่อนไหม จะได้รู้ว่า roadmap ประเทศไทยเป็นอย่างไร

หรือไปวัดอุณหภูมิการเมืองกับหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์เสียก่อน

ครับ เขางง

จะไม่งงได้อย่างไรเล่า คนอยู่ในบ้านยังไม่ค่อยจะเข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัว รู้แต่ว่าชุลมุนวุ่นวายไปหมด ชนิดรวมสังขารไม่ติด

ภาพของเมืองไทยขณะนี้จึงเป็นบ้านไทยใต้ถุนสูง ท่าทางร่มรื่นรับแขกดี แต่พอสืบเท้าใกล้เข้ามาก็ได้ยินเสียงเอะอะมะเทิ่งดังออกมาจากห้องนั้นห้องนี้ ฟังเหมือนเขาทะเลาะกัน แต่จับความไม่ได้สักทีว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร

ไม่ได้การแล้ว แจวก่อนเถิด ตงตีนไม่ต้องล้างแล้ว

ไปล้างที่เวียดนามดีกว่า.

--------------------------------------------------------------------------------

TPNews - เชิญสมัครเป็นสมาชิกข่าวสั้นผ่านมือถือ (SMS)

***"TPNews" ขอเชิญผู้มีหัวใจรักประชาธิปไตยทุกท่าน สมัครเป็นสมาชิกข่าวสั้นผ่านมือถือ (SMS) เพื่อนำรายได้ช่วยสนับสนุนการต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย******TPNews (Thai People News) : ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-456 6794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)****

ต่อให้รบแพ้สักร้อยครั้ง ก็ยังแดง โดย วโรทาห์


โดย : วโรทาห์
ที่มา : http://warotah.blogspot.com/
วันศุกร์ที่ 29 ม.ค. 2553

ยิ่งใกล้วันดีเดย์ล้างบาง ระบอบอำมาตย์เข้าไปทุกที บรรดาสมุนน้อยใหญ่ของฝ่ายนั้น ต่างก็ออกอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว สวิงสวายหัวใจสั่น เมื่อถูกฝ่ายประชาชนโน้มคอลงมาตีเข่า อัดเข้าลิ้นปี่เนื้อๆ เน้นๆ เสียผู้เสียคนกันไปอย่างไม่น่าเชื่อ

เหมือนมวยกำลังได้ใจ กลับจากไล่โจรฮุบป่าที่เขายายเที่ยง ก็ยกพลกันไปที่เขาสอยดาว สาวเดือนลงมากระทืบโชว์ ให้เห็นกันจะๆว่า คุณธรรมจริยธรรม มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

ถ้าขืนอำมาตย์แก้เกมไม่ตก เห็นทีว่า ไม่ช้าก็เร็วเป็นได้รากเลือด ช้ำในตายกันเป็นแถว แต่ครั้นจะใช้ยาแรง ทำรัฐประหารให้รู้แล้วรู้รอด ก็กลัวว่ามันจะบานไม่รู้หุบ จึงได้แต่ขู่ฟ่อๆไม่ให้เข้าใกล้ ด้วยการลากรถถังออกมาโชว์พาวดึกๆดื่นๆ เรียงแถวกันมา 20-30 คัน ตระเวณหาอู่ซ่อมให้ควั่ก ยังดีที่ยังไม่อ้างว่า ออกมาหาปั๊มป์ปะยาง 24 ชั่วโมง

แต่แค่นี้ก็เกินพอ ที่จะทำให้ประชาชนเจ้าของประเทศ ขี้หดตดหายกันไปทั้งบาง

หมาเห่ามันไม่กัด แต่ถ้าลงว่าหมาจะกัด จ้างให้มันก็ไม่เห่า คำพังเพยของคนโบราณ จะยังขลังอยู่หรือไม่ คงได้รับการพิสูจน์กันในไม่ช้า

ทางฝั่งประชาชนโดยคนเสื้อแดงเป็นโต้โผใหญ่ ก็ไม่มีลดราวาศอกซักกะนิด เพราะว่าเลยขีดอดทน ทะลักจุดเดือดไปตั้งนานแล้ว หมูไม่กลัวน้ำร้อน ต่อให้ข่มขู่ยังไงก็ไม่เสียว อะไรไม่อะไร ยังท้าตีท้าต่อยว่า ถ้าแน่จริงก็รีบออกมากันให้ว่อง เลยกลายเป็นหน้าที่ของนักธุรกิจน้อยใหญ่ ที่ต้องรับหน้าเสื่อ นั่งเสียวดากกันเป็นแถว

ก็โถ..ไม่ต้องให้ถึงกับ ทำรัฐประหารจริงๆหรอก เอาแค่ที่ซิ่งรถถึงออกมากึงกัง เที่ยวเร่หาปะยางกลางค่ำกลางคืนไม่ยอมหลับยอมนอน หุ้นก็ร่วงพรู ตกรูดมหาราด จนไม่รู้จะว่ายังไงกันแล้ว

พลพรรคอำมาตย์นี่ ก็บ้าดีเดือดกันทุกคน กล้าแลกกล้าชน แรงดีไม่มีตกกันจริงๆ สงสัยว่าน่าจะใกล้วันฝีแตกเข้าไปเต็มที มันถึงได้ใจกล้าหน้าด้านกันขนาดนั้น กะแค่นายทหารคนหนึ่งจาบจ้วงใส่ผู้บังคับบัญชา โทษฐานที่ทำยึกยักชักเข้าชักออก ก็มีลูกอดีตนายทหารเสื้อคับจอมงาบ ลากเอาสถาบันทหารออกมาไล่บี้กัน เป็นว่าเล่น

โชว์ 2 มาตรฐานในวงการสีเขียวกันเห็นๆ แล้วอย่างนี้ใครจะไปทนไหว ทีเครื่องGT200ทำให้เสียศักดิ์ศรีกว่านี้เยอะ ยังไม่เห็นมีหน้าไหนออกมาว่าอะไรสักแอะ ขนาดตอนที่ผบ.ทบ.ออกมาไล่รมต.กลาโหมกลางอากาศ มันยังนั่งอมสากกันหน้าตาเฉย ขืนเล่นกันอย่างนี้ ก็จงระวังตัวกันให้ดีเถอะ มีคนเขาฝากเตือนมาว่า

ถ้าสถาบันประชาชนเหลืออดเมื่อไหร่ แล้วจะหนาวกันไปทั้งกองทัพ

ต้องนับว่าเป็นความซวยของฝ่ายอำมาตย์โดยแท้ ที่ลูกน้องแต่ละตัวไม่เคยเป็นผู้เป็นคนกับใครเขา ขนาดลงทุนปล้นอำนาจมาให้ ดันก้นจนเป็นนายกฯสมใจอยาก มันยังกล้าโหลยโท่ยเละเทะ เหลือกำลังลาก เพราะนอกจากเอาแต่เกาะโพเดียมแอ๊คท์ท่าแล้ว ที่เหลือก็มีแต่รายการโชว์โง่ไม่เว้นแต่ละวัน

มาถึงวันนี้ ที่เคยด่าว่าคนอื่นเอาไว้เสียๆหายๆ ล้วนแต่เข้าตัวเองหมด หาว่าเขาโกงทั้งโคตร ทั้งๆที่ยึดอำนาจมาแล้ว ยังหาหลักฐานเอาผิดเจ๋งๆไม่ได้ แม้แต่คดีเดียว แต่ที่ประจานอยู่ทนโท่คือพวกตัวเอง ที่งาบกันจนพุงปลิ้น กินกันจนพุงกาง ฟาดกันเนื้อๆเน้นๆ ไม่มีเกรงใจประชาชน

มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงจะเอาช้างมาฉุดก็คงไม่อยู่ เพราะไม่ใช่แค่ฝ่ายอำมาตย์เท่านั้นที่หลังพิงฝา แม้แต่ฝ่ายประชาชนที่เคยพยายามหลีกเลี่ยงความรุนแรงมาโดยตลอด ก็ชักจะเลือดเข้าตา ออกมาฮึ่มฮั่มใส่อำมาตย์ อย่างชนิดที่ว่า ไม่มีใครกลัวใครกันแล้ว

ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกได้ถึงความไม่เป็นธรรมโดยพร้อมเพรียงกันขนาดนี้ ยิ่งไม่มีครั้งไหนที่ประชาชน สามารถมีประชามติโดยไม่ต้องนัดหมายว่า มีแต่สองมือของเราเท่านั้น ที่จะพลิกแผ่นดินไทย ให้เป็นธรรมและเป็นทอง อย่างแท้จริง

เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ในเมื่อเห็นว่าสมควรรบ ก็จงรบเถิดอรชุน เพียงแต่ว่าต้องประเมินสถานการณ์ให้เป๊ะๆ ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง รบให้ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา วางแผนให้ดี มีก๊อกหนึ่ง สอง สาม เอาไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด ที่พูดมานี้ ไม่ใช่ว่ากลัวแพ้ เพียงแต่ว่ายังเสียวไม่หายจากคราวสงกรานต์ทมิฬ

ธรรมชาติของเสื้อแดงนั้น แดงแล้วแดงเลย ต่อให้รบแพ้สักร้อยครั้ง ก็ยังเป็นแดง แม้กระนั้น ก็ยังไม่อยากให้ไปเสียเลือดเนื้อกันโดยใช่เหตุ ชีวิตนักรบประชาธิปไตย 1 ชีวิตนั้น ประเมินค่าไม่ถูก ต่อให้แลกชีวิตสุนัขได้เป็นร้อยก็งั้นๆ คิดสะระตะยังไง ก็ยังขาดทุนบักโกรกอยู่ดี

จึงต้องทำใจให้เป็นกลาง ไม่รักใครจนเลยเถิด หรือชังใครจนน่าเกลียด แล้วใช้หมองนั่ง'มาธิ พินิจพิเคราะห์ดูให้ดี ทบไปทวนมาจนเห็นภาพได้ชัดเจน ว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่ทัพตัวจริงของฝ่ายศัตรู ต้องรู้เขารู้เรา จึงจะรบได้ถึงกึ๋น ถ้าขืนสุ่มสี่สุ่มห้าชี้เป้าแบบเครื่อง GT200 ต่อให้รบชนะยึดเมืองได้ ก็ยังแพ้อยู่ดี เพราะถ้าถึงเวลานั้น...

อำมาตย์หงายโจ๊กเกอร์ออกมา มันจะรับมุกกันไม่ทัน

----------------------------------------------------------------------------

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 4 เห่อดีเบต


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 4 เห่อดีเบต
โดย : กาหลิบ

----------------------------------------------------------------------------------
ระบบรัฐสภานั้นแปลว่า อย่าไปตู่ว่าข้าพเจ้าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่ๆ เพราะอาจจะมีการจัดตั้งเป็นรัฐบาลผสม หัวหน้าพรรคที่มั่นใจนักหนา อาจจะไม่มีโอกาสเป็นก็ได้
----------------------------------------------------------------------------------

“เห่อดีเบต”

กำลังเห่อได้ที่ทีเดียวสำหรับสิ่งที่เรียกว่า “ดีเบต” หลังจากที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ออกมาโหมโฆษณาตัวเองและพรรคด้วยข้อเสนอต่างๆ ทางนโยบาย และท้าให้หัวหน้าพรรคไทยรักไทยให้ออกมาโต้กันในโทรทัศน์

เรียกอย่างเท่ว่า ดีเบต แต่ไม่ยักสะกดเป็นภาษาอังกฤษให้ด้วยว่า debate ไหนๆ จะไปหยิบของเขามา ไม่ได้คิดเองแล้วก็ควรจะให้เกียรติกันเสียหน่อย

เป็นการปิดท้ายให้ระทึกใจเล็กๆ ตามแบบฉบับของให้ข่าวทางการเมือง เพื่อให้นอนลุ้นไปทั้งคืนว่าคุณทักษิณฯ จะตอบอย่างไร

ถ้าตอบรับก็จะช่วยยกระดับของผู้ท้าทาย เพราะอีกฝ่ายเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าตอบปฏิเสธก็จะคอยโห่ฮาว่าไม่แน่จริง (นี่หว่า)

คำนวณว่าได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง

ความจริงการโต้คารมและความคิดในเรื่องของบ้านเมืองเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน เพราะอำนาจรัฐเป็นของศักดิ์สิทธิ์และมีความพิเศษ นำไปใช้ทำงานต่างๆ ได้สารพัด กว่าสังคมจะยอมให้ใครก้าวเข้ามาได้อำนาจรัฐก็ต้องขอพิสูจน์ความสามารถกันอย่างจริงจัง โดยมักเริ่มต้นจากความสามารถในการคิด วิเคราะห์ปัญหา และหาทางออกที่ดีที่สุดเพื่อประกาศเป็นนโยบายออกมา กระบวนการนี้ทำให้การนำเสนอแนวความคิดทางการเมืองและวิพากษ์ตามหลังกลายเป็นกิจกรรมที่มีความหมายและกลายเป็นสีสันทางการเมือง จนเกิดเป็นวัฒนธรรมขึ้นมาหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ฯลฯ

แต่เมื่ออุตส่าห์เรียกทับศัพท์ว่าดีเบต ก็ต้องแอบสรุปว่าคงจะยกมาจากประเพณีการเมืองอเมริกันเป็นแน่ เพราะที่สหรัฐฯ นั้นเขาใช้คำว่า presidential debate กันมานาน อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสรรหาและเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศ

มีลักษณะจำเพาะที่ควรรู้ บางอย่างก็ไม่สอดคล้องกับประเพณีและวิถีทางทางการเมืองของไทยนัก

การโต้คารมทางโทรทัศน์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เริ่มต้นจากปัญหาทางการเมืองแท้ๆ ไม่ใช่นวัตกรรมในยามปรกติเลย สหรัฐฯ จะเป็นประชาธิปไตยก้าวหน้าทันสมัยขนาดไหนไม่รู้ล่ะ แต่ผู้หญิงเพิ่งจะได้รับสิทธิในการใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเมื่อไม่นานนี้เอง ตามหลังผู้ชายเป็นร้อยปี (ส่วนเมืองไทยนั้นได้รับสิทธิ์พร้อมกันทั้งหญิง ชาย และเกย์)

เมื่อได้รับสิทธิ์มาอย่างยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็นแล้ว สตรีอเมริกันก็รวมตัวกันขึ้นเป็นสันนิบาต เรียกว่าสันนิบาตสตรีผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง นัยว่ารวมกันไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชายแอบมาแย่งเอาสิทธิ์นั้นกลับไปอีก

แต่ผู้ชายก็ไม่ยอม ยังหาทางกีดกันต่างๆ นานาไม่ให้ผู้หญิงได้เข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองต่างๆ ได้โดยง่าย เช่น ตั้งสโมสรการเมืองชนิดห้ามผู้หญิงย่างเท้าเข้าไป ฯลฯ ผู้หญิงจึงพบว่าตนเองมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง แต่กลับขาดข้อมูลที่จะตัดสินใจได้ว่าผู้สมัครคนใดดีกว่ากัน เพราะฐานข้อมูลไม่ได้ชุกชุมดกดื่นเหมือนทุกวันนี้

ก็เลยใช้สันนิบาตนั่นเองในการเชิญผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีจากทุกพรรคมาพูดให้ฟัง และจัดรูปแบบให้พูดกันต่อหน้าสดๆ เรียงประเด็นไปตามสำคัญและความสนใจของสมาชิกในสันนิบาต

ปรากฏว่า....สุดฮิต

เป็นที่นิยมขนาดหนักทั้งในหมู่ผู้หญิงและผู้ชายผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง เบียดเสียดยัดเยียดเข้าไปดู จนในที่สุดต้องขายบัตร หมดแล้วหมดกัน

ต่อมาก็พัฒนาการไปไกล มีทั้งการถ่ายทอดเสียงทางวิทยุ จนถ่ายทอดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ และถ่ายทอดสดผ่านอินเตอร์เน็ตร่วมด้วยอย่างในปัจจุบัน รูปแบบการโต้คารมก็ขยายจากรอบเดียวจบ จนกลายเป็นสามรอบ

สรุปแล้วสหรัฐฯ เขาคิดกระบวนการดีเบตขึ้นมาเพราะขาดข้อมูล แต่เหตุผลที่ออกจะสำคัญมากคือเขาใช้ระบบประธานาธิบดีในการบริหารประเทศ แปลว่าใครก็ตามที่เข้าร่วมการดีเบต คนใดคนหนึ่งในจำนวนนั้นจะก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีแน่

แต่ของไทยเรานั้นข้อมูลมากมายเนืองนอง ทั้งข่าวจริงข่าวปล่อย ได้รับฟังข้อมูลเกี่ยวกับการเมืองเสียจนกระทั่งไม่อยากฟัง

และระบบรัฐสภานั้นแปลว่า อย่าไปตู่ว่าข้าพเจ้าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่ๆ เพราะอาจจะมีการจัดตั้งเป็นรัฐบาลผสม หัวหน้าพรรคที่มั่นใจนักหนาอาจจะไม่มีโอกาสเป็นก็ได้ ไม่ว่าจะไทยรักไทย ประชาธิปัตย์ หรือชาติไทยล่ะ

เพราะประชาชนคือผู้ตัดสินในท้ายที่สุดว่าใครจะเป็นใคร

ต้องระลึกไว้เสมอครับว่าประชาชนอยู่ด้านเดียวกับคนไถนา ไม่ใช่อีกด้านหนึ่งของคันไถ.

---------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 3 เมื่อหาเสียงเป็นความผิด


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 3 เมื่อหาเสียงเป็นความผิด
โดย : กาหลิบ

-----------------------------------------------------------------------------
ยังสงสัยกันไม่หยุดหย่อนว่าจะมีการเลือกตั้งได้ตามที่กำหนดจริงหรือไม่ เพราะความพยายามล้มประชาธิปไตยก็ยังคึ่กๆ กันอยู่
-----------------------------------------------------------------------------

เมื่อหาเสียงเป็นความผิด

นายกรัฐมนตรีกำลังไปตรวจราชการแบบค่ำไหนนอนนั่น ทีมีชื่อเล่นของภารกิจว่า ทัวร์นกขมิ้น โดยเริ่มต้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในขณะที่กรุงเทพฯ กำลัง “ดีเบต” ความเหมาะสมของเรื่องนี้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

ความจริงก็เอาเป็นเอาตายกันทุกเรื่องอยู่แล้ว แม้แต่ในเรื่องบ้าๆ บอๆ ในเงื่อนไขการเมืองในปัจจุบันนี้ถ้าคุณทักษิณฯ จามใส่นักข่าวที่มารุมล้อมสัมภาษณ์อยู่ทุกวัน คงจะมีคนออกมากล่าวหาว่าจงใจเผยแพร่เชื้อหวัดให้กับคนไทย สนุกดีเหมือนกัน

ประเด็นของคำวิจารณ์นั้นคือ นายกรัฐมนตรีเอาตำแหน่งไปหาเสียงอีกแล้ว ข่าวที่ร่ำลือออกมาว่าจะไปมอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินและผลผลิตจากนโยบายต่างๆ ให้กับพี่น้องประชาชน ทำให้มีคนออกมาดักคอว่ากำลังจะไป “ซื้อ” ล่วงหน้า

ได้ยินอย่างนั้นคุณทักษิณฯ ก็โอดครวญทันที “จะไม่ผมทำงานบ้างเลยหรือ”

เท่ากับเกิดสองมุมขึ้นอีกแล้วในเรื่องที่ไม่ควรมีมุม

มองจากทัศนะของคนที่คัดค้านคุณทักษิณฯ คงจะเห็นว่าเป็นความพยายามหาเสียง ไม่ใช่การตรวจราชการปรกติ เรื่องนี้ความจริงก็มีประเด็น เพราะผู้นำในระบอบประชาธิปไตยในปีเลือกตั้งจะพบข้อกล่าวหาและความสงสัยคล้ายๆ กันอย่างนี้

ปีเลือกตั้งนั้น นักการเมืองผู้มีประสบการณ์จะสงเคราะห์ว่าเป็นปีเปลี่ยนผ่าน แรงกว่านั้นคือเสียเวลา แต่เป็นการเสียเวลาสำหรับการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย จึงบ่นไม่ได้ เป็นการเสียเวลาที่จำเป็น แต่นักการเมืองก็รู้ดีว่า ที่ว่าเสียเวลานั้นเพื่อเรื่องของเกมการเมือง ที่ฝ่ายตนก็ต้องฉกฉวยความได้เปรียบ และฝ่ายที่แข่งขันขับเคี่ยวกันอยู่ก็จะต้องเตะตัดขาให้ได้เสมอ

เมืองไทยก็กำลังอยู่ในประเด็นนั้นเลย แตกต่างจากอารยประชาธิปไตยเขาหน่อยว่า ยังสงสัยกันไม่หยุดหย่อนว่าจะมีเลือกตั้งได้ตามที่กำหนดจริงหรือไม่ เพราะความพยายามล้มประชาธิปไตยก็ยังคึ่กๆ กันอยู่
คุณทักษิณฯ คงจะรู้ดีทีเดียวว่า ทัวร์นกขมิ้นรอบแรกกับรอบนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

นกขมิ้นรอบแรกนั้นเป็นนวัตกรรมใหม่ทางการเมือง ที่ผู้นำรัฐบาลลงไป “ตัดตอน” รับประเด็นปัญหาและความต้องการต่างๆ มาจากชาวบ้านโดยตรง ไม่รอให้ระบบราชการกรองขึ้นมาให้ก่อนแบบกึ่งดิบกึ่งดี

กว่าฝ่ายตรงข้ามจะรู้ว่าได้ผลแค่ไหนในทางการเมือง ก็ต้องรอจนเกิดกระแสต่อต้านที่ช่วยกันโหม และตื่นขึ้นมาจับผิดในนกขมิ้นรอบสอง

ทัวร์นายกฯ เที่ยวนี้จึงไม่ได้เดินอยู่บนกลีบกุหลาบ แต่เป็นการกระชับเป้าหมายในทางการเมือง แบบที่เรียกว่า hardening one’s position

เสียงสนับสนุนของนายกฯ และพรรคไทยรักไทยอยู่ในจังหวัดต่างๆ ที่โอบล้อมกรุงเทพฯ อยู่ คุณทักษิณฯ ก็ออกไปทำให้เกิดความเชื่อมั่นและคงความสนับสนุนที่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม

พรรคประชาธิปัตย์จะเห็นด้วยและเออออไปกับเรื่องนี้ได้อย่างไร

การเดินเกมเดิมแต่อย่างระมัดระวังขึ้น เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในความสำเร็จของทัวร์นกขมิ้นรอบนี้ ไม่ทำก็ไม่ได้ และทำอย่างบุ่มบ่ามไปก็จะพบว่าได้ไม่คุ้มเสีย

แต่สิ่งที่ทุกคนดูเหมือนจะลืมกันไปหมดในการเมืองหน้าสิ่วหน้าขวาน คือการหาเสียงเป็นปรกติธรรมดาของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

ว่ากันทุกท่าล่ะครับ เว้นไว้แต่กิจกรรมที่ผิดกฎหมายหรือขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติในใจของผู้คนขนาดหนัก
นักการเมืองที่ไม่อยากได้คะแนนเสียง และไม่ลงเลือกตั้งเพื่อแข่งขันในเชิงนโยบาย ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นนักการเมืองด้วยเหตุผลใด

การหาเสียงจึงผิดไม่ได้ ยกเว้นด้วยวิธีการที่ผิด

การติเรือทั้งโกลนจึงไม่ควรใช้ในสถานการณ์นี้ แต่ควรขีดเส้นที่ควรเป็น

เพราะนักการเมืองในระบบประชาธิปไตยมีตัวตนอยู่ได้ด้วยเหตุนี้ ถ้าไม่หาเสียงแล้วจะให้หาอะไรหรือ?
--------------------------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

พลัดถิ่น โดย จักรภพ เพ็ญแข


โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 35

รัฐบาลพลัดถิ่นแผ่นดินสยาม
คือความงามความฝันของวันใหม่
เมื่ออำมาตย์ชาติโจรมาปล้นใจ
ก็ตั้งใหม่ให้สมค่าประชาชน

คำประกาศว่าไม่ถอย ณ สอยดาว
จึงพร่างพราวสุดสว่างกลางถนน
เป็นแผนที่เดินทางของมวลชน
ให้ดั้นด้นสู่ดาวอันยาวไกล

รัฐบาลของเราเขาหักโค่น
แล้วถ่ายโอนคืนอำนาจอำมาตย์ใหญ่
เปิดศึกชิงอำนาจอธิปไตย
จากชาวไทยไร้อาวุธจนหลุดมือ

ใช้อาวุธจากภาษีมาจี้ปล้น
เคยได้แต่อดทนไม่กล้าหือ
ยอมให้กุ๊ยเกลื่อนเมืองจนเลื่องลือ
เพราะเขาถือสีเหลืองเป็นเครื่องราง

ประชาชนจนใจในอดีต
ถูกเขาขีดเส้นตรงไหนไม่ขัดขวาง
เป็นประดุจปศุสัตว์ให้จัดวาง
เขาก็กร่างวางตัวบนหัวคน

ให้ทหารยึดอำนาจมาหลายครั้ง
อำนาจศาลช่วยให้ขลังมาหลายหน
ปลุกมวลชนเอามาฆ่าประชาชน
นั่งข้างบนมองลงมาสาแก่ใจ

นี่แหละคือเมืองไทยในชีวิต
ประชาชนคน “ผิด” ทุกสมัย
ฝูงอำมาตย์ “ชอบธรรม” มานำไทย
ชนชั้นใหม่เหนือมหาประชาชน

ประชาชนเจ็บตายเท่าไหร่หนอ
ถ้ามัวนั่งร้องขอกับพวกปล้น
หากยืนหยัดจัดตั้งกำลังพล
ประกาศสู้ทรชนยังมีทาง

โลกมองไทยในวันนี้เพราะมีเหตุ
โดนเสี้ยวเศษเดนมนุษย์มาหยุดขวาง
เมื่อมวลชนมากมายในเส้นทาง
เขาคอยวางหลักอยู่อยากรู้ใจ

เขาหวังเห็นไทยสู้ศัตรูชาติ
คืออำมาตย์ตัวหลักต้องผลักไส
หากไทยเริ่มเขาจะเสริมกำลังไทย
จะยิ่งใหญ่ปานภูเขาก็เอากัน

ถึงเวลาถามใจไทยทั้งชาติ
สู้อำมาตย์กันให้โลกเขาลือลั่น
ถึงพลัดถิ่นก็จะบินไปสู้มัน
เป็นรัฐบาลแห่งขวัญกำลังใจ

รัฐบาลพลัดถิ่นแผ่นดินโลก
ระงับความทุกข์โศกให้สิ้นสมัย
ประกาศขั้วหัวชัดเป็นฉัตรชัย
ประชาชนอยู่ที่ใดร่วมใจเดียว

ไม่ยอมรับกลไกใต้อำมาตย์
ไม่ยอมรับซึ่งอำนาจในโลกเบี้ยว
รัฐบาลพลัดถิ่นแผ่นดินเดียว
จะบุกเดี่ยวชิงธงดำรงเมือง.

------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)
------------------------------------------------------------------------

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 2 แข่งนโยบาย...เชิญ


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 2 : แข่งนโยบาย...เชิญ!
โดย : กาหลิบ

---------------------------------------------------------------------------
พรรคการเมืองในโลกที่ประชาธิปไตยพัฒนามากกว่าไทย มักจะเกิดและดำรงชีพในฐานที่เป็นพรรคการเมืองอู่ได้ก็เพราะเสนอนโยบาย ที่มีคนพอใจอย่างเพียงพอ
---------------------------------------------------------------------------

ในที่สุดพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ก็ทำในสิ่งที่พึงกระทำ พึงกระทำมาสักสี่ห้าปีแล้วล่ะครับ นั่นคือการเสนอนโยบายเข้ามาแข่งขันกับไทยรักไทย

ถึงสิ่งที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าประชาธิปัตย์ เสนอในโฆษณาหาเสียงจะไม่ได้ใหม่เอี่ยมหรือสร้างความตื่นเต้นอะไรขึ้นมาได้ แต่ต้องเรียกว่าเป็นความพยายามที่จะทำอะไรมากกว่าจับคำพูดของคนอื่นมาตั้งแง่หาเรื่องเพื่อเอาเชิงการเมืองกันเฉยๆ

อย่างน้อยก็จะได้ลดข้อกล่าวหาว่าพรรคนี้ดีแต่ด่า ไม่เสนอทางออกอะไรให้กับชาติบ้านเมือง

ผมเคยพูดในเวทีสาธารณะมาหลายครั้งว่า ไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองหนึ่ง ประชาธิปัตย์ก็เป็นพรรคการเมืองหนึ่ง เช่นเดียวกับชาติไทย มหาชน พลังธรรม ประชาราช ฯลฯ ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะนำเสนอนโยบายให้โดนใจประชาชนออกมา ไม่มีใครย่อหย่อนกว่าใคร

แต่หลายพรรครวมทั้งประชาธิปัตย์ก็คุมเชิงอยู่ตลอดมา ไม่ค่อยเสนออะไรออกมาให้คนเขาตัดสิน แต่ใช้วิธีนั่งซุ่ม รอว่าพรรคไทยรักไทยเสนออะไรออกมาแล้วก็จับไปใส่แนวโจมตีหลักๆ ที่สร้างรองรับเอาไว้ล่วงหน้า เช่น เน้นเงินไม่เน้นคน ติดสินบนประชาชนเพื่อคะแนนเสียง มีผลประโยชน์ส่วนตัวเกี่ยวพัน ฯลฯ

ไม่ผิดอะไรกับคนที่คอยดักซุ่มยิงนก ส่งผลให้นกหมดป่าไปเรื่อยๆ ไม่เกิดมรรคผลใดๆ

พรรคการเมืองในโลกที่ประชาธิปไตยพัฒนามากกว่าไทย มักจะเกิดและดำรงชีพในฐานที่เป็นพรรคการเมืองอยู่ได้ก็เพราะเสนอนโยบายที่มีคนพอใจอย่างเพียงพอ และได้รับเลือกตั้งจากคนกลุ่มนั้นๆ และคนกลุ่มอื่นๆ ที่อาจเปลี่ยนใจเป็นครั้งคราวมาสนับสนุน

ดูอังกฤษจะชัดเจนที่สุด ยกแม่บทมาเลย

พรรคอนุรักษ์นิยมเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะความภูมิใจในวิถีชีวิตแบบจารีตประเพณี เห็นว่าความเป็นอังกฤษนั้นวิเศษสุด รัฐบาลจึงควรทำทุกอย่างที่เป็นการรักษาวิธีการแบบเดิมเอาไว้ เพราะของใหม่นั้นไม่แน่นอนและดูเหมือนจะส่งผลที่เลวลงไปกว่าเดิม เปลี่ยนอะไรก็น้อยๆ และเฉพาะในรายละเอียด

พรรคแรงงานยึดแนวทางตรงกันข้าม เห็นว่าสังคมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เกิดชนชั้นทางสังคมและเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่ต้องการการมีส่วนร่วม จะไปปล่อยชนชั้นนำ (ทั้งโดยระบบศักดินาและระบบเศรษฐกิจใหม่) ยึดครองไม่ได้ สังคมจะวุ่นวายยุ่งเหยิง ขาดความเป็นธรรม พรรคนี้จะพูดถึงการปฏิรูปสังคมอยู่เรื่อย
พรรคเสรีประชาธิปไตยต้องการจะผสมสองแนวทางนี้ แต่หาผู้สนับสนุนประเภทยืนถ่างขาไม่ค่อยได้ ก็เลยเป็นพรรคอันดับสามและเล็กที่สุดในอังกฤษ

เมื่อมีประเด็นใหม่ๆ ของปัจจุบันเข้ามาท้าทาย เช่น ความร่วมมือกับสหภาพยุโรป เสรีภาพในอินเตอร์เน็ต การส่งเสริม SMEs ฯลฯ ก็จะนำแนวทางหลักของพรรคมาจับและกำหนดนโยบายในรายละเอียดออกมา เสนอให้ประชาชนตัดสินในการเลือกตั้ง

ชัดเจนและมีประโยชน์ยิ่ง

สิ่งที่ไทยรักไทยทำมาตลอด และประชาธิปัตย์ตัดสินใจเปิดตัวคุณอภิสิทธิ์ฯ ด้วยแนวทางที่คล้ายกันนี้ น่าจะทำให้การเมืองสว่างขึ้น เพราะอนาคตนั้นสวยงามและสร้างความหวัง แต่การย่ำเท้าก่นด่ากันในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นั้น ทำให้คนเบื่อหน่ายการเมืองลงไปถึงกระดูกดำ

เผลอๆ จะเบื่อเป็นคนไทยเข้าให้

อย่าเสียเวลาแก้ตัวกันอีกเลยครับว่าเราไม่ได้ผิดไม่ได้พลั้งอย่างเขาว่า ออกโรงมาเสนอแนวทางจากมันสมองของตนเองเพื่อแข่งขันกันอย่างยิ่งใหญ่และสมศักดื์ศรีจะดีกว่า

การเมืองใหม่แปลว่านโยบายต้องสำคัญกว่าหรืออย่างน้อยก็สำคัญเท่าๆ กับตัวบุคคล

เพื่อให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล

เพื่อให้พรรคพวกสำคัญน้อยกว่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์

เพื่อให้พลโลกเขาเข้าใจว่าคนไทยทุ่มเถียงกันหน้าดำหน้าแดงในเรื่องสำมะหาอันใด (คำของคุณเรวัตร พันธุ์พิพัฒน์ ณ ซีไรต์)

และเพื่อให้รู้ว่าคนไทยมีสาระ ไม่ใช่มีแต่เกมการเมือง.

----------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

รัฐบาลพลัดถิ่น โดย จักรภพ เพ็ญแข


โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 35 (ศุกร์ที่ 29 ม.ค. 53)

แล้ววลี “กงล้อแห่งประวัติศาสตร์” ก็มีน้ำหนักขึ้นในทันทีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ประกาศคำว่า “รัฐบาลพลัดถิ่น” ออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ ระหว่างการปราศรัยผ่านดาวเทียมกับมวลมหาประชาชนที่กำลังชุมนุมทวงแผ่นดินคืนจากอำมาตย์ ณ เขาสอยดาว จันทบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๓ ผมทราบว่าหลายท่านน้ำตาไหล และหลายท่านหายใจอย่างโล่งอกว่านี่แหละเกียรติภูมิที่ควรเป็นของขบวนการประชาธิปไตย

ตัวผมนั่งอยู่อีกมุมโลกหนึ่ง รู้สึกประหนึ่งว่าเราชนะแล้วด้วยซ้ำไป

รัฐบาลพลัดถิ่นคืออะไร ทำไมสำคัญถึงขนาดนี้ เราจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้จริงหรือ ทั่วโลกเขาจะเอากับเราหรือ?

ผมได้ยินคำถามดังออกมาจากหัวใจของพวกเราที่ร่วมต่อสู้และปรารถนาจะเห็นชัยชนะอย่างไม่มีเงื่อนไขของฝ่ายประชาชน วันนี้ต้องตอบคำถามเหล่านั้นให้ชัดเจนหรืออย่างน้อยต้องลดความสงสัยลงบ้าง

รัฐบาลพลัดถิ่น หรือ government-in-exile เป็นวิถีทางต่อสู้อย่างหนึ่งของขบวนการการเมืองในแต่ละประเทศ เมื่อการต่อสู้ในประเทศตนไม่อาจเป็นไปได้แล้ว โลกหรือประชาคมระหว่างประเทศ โดยองค์การสหประชาชาติคือผู้ประกันสิทธิตามธรรมชาติในข้อนี้ของขบวนการการเมืองใดๆ ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างบริสุทธิ์ใจจากมวลชนจำนวนมากในประเทศนั้นๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นกลไกการต่อสู้ที่โลกยอมรับ และถือเป็นการรณรงค์ทางการเมืองโดยสันติวิธีอย่างหนึ่ง

รัฐบาลพลัดถิ่นจึงไม่ใช่รัฐบาลเถื่อน

มิหนำซ้ำ หากรัฐบาลนั้นๆ ตั้งขึ้นบนความยอมรับนับถือของประชาคมระหว่างประเทศและได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอในประเทศของตนแล้ว ยังเกิดผลอีกอย่างหนึ่งคือทำให้รัฐบาลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามในขณะนั้น หมดสิ้นความชอบธรรมลงไปทันที มหาประชาชนจะฉุดกระชากลากลงมาจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเสียเมื่อไหร่ก็ได้

ครับ ถ้า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาได้สำเร็จ รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลสุรยุทธ์ รัฐบาลปีย์ รัฐบาลเปรม และรัฐบาลเขายายเที่ยงบวกกับตาเที่ยง หรือรัฐบาลเวรกรรมใดๆ ที่มาจากการปล้นอำนาจรัฐจากประชาชนด้วยกำลังกองทัพ ตุลาการวิบัติ หรือองค์กรอิสระ (แต่เป็นทาสอำมาตย์) จะกลายสภาพเป็นรัฐบาลเถื่อนในทันที

การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นคำประกาศว่าใครคือรัฐบาลตัวจริง

รัฐบาลตัวจริงหมายถึงรัฐบาลที่มีความชอบธรรมอย่างแท้จริง และรัฐบาลมีฐานประชาชนหนุนอย่างเพียงพอ ไม่ใช่รัฐบาลที่มีคนเรียกฝ่ายตุลาการออกมาวางแผนปล้นให้ ไม่ใช่รัฐบาลที่คอยแก้ไขปัญหาปากคอกอย่างเพลี้ยสีน้ำตาลหรือทะเลกัดเซาะชายฝั่งที่ปักษ์ใต้ โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาจากเหตุปัจจัยหลัก เพราะทำเพียงเพื่อจะหาทางผันงบประมาณออกมาใช้กันให้อ้วนท้วนไปตามๆ กันเท่านั้น

ที่มาของรัฐบาลก็ต้องชอบธรรม การทำงานในขณะเป็นรัฐบาลหรือขณะที่ถืออำนาจรัฐอยู่ก็ต้องชอบธรรม เรียกว่าชอบธรรมตั้งแต่หัวจรดเท้าและยาวนานตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง

รัฐบาลเฮียดึงหรือเจ๊ดันอย่างรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์และนายอภิสิทธิ์จึงขาดชอบธรรมอย่างเด็ดขาด จะดูที่มาของรัฐบาลหรือวิธีการใช้อำนาจรัฐ ก็ขาดด้วนหมด

ไม่ต่างอะไรจากคนเป็นสมีปาราชิก แต่ไปหลอกสาธุชนว่าเป็นพระ ให้ศีลให้พรคนจนยุ่งไปหมด เผลอๆ ยังหน้าด้านไปทำหน้าที่อุปัชฌาย์หรือเป็นพระพี่เลี้ยงนวกะสร้างพระใหม่อีกต่างหาก

แล้วจะตั้งได้หรือ รัฐบาลพลัดถิ่นที่ว่านี้?

เจ้าของประเทศไทยคือประชาชนส่วนมากอาจจะยังไม่ทราบว่า วันที่เราถูกปล้นอำนาจรัฐในวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เราเกือบจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นกันแล้ว ในวันนั้นนายกรัฐมนตรีของเราก็อยู่ที่องค์การสหประชาชาติพร้อมกับผู้นำทั่วโลกอีกมากมาย ต่างฝ่ายต่างมาร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติประจำปีกันในโอกาสนั้นทั้งสิ้น

เลขาธิการสหประชาชาติในเวลานั้นคือนายโคฟี่ อันนัน ก็ย้ำคำเชิญให้นายกรัฐมนตรีทักษิณขึ้นกล่าวปราศรัยตามกำหนดการเดิม โดยไม่คำนึงถึงการรัฐประหาร เป็นการประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่าองค์การสหประชาชาติยอมรับรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่รับรัฐบาลที่ซากเดนศักดินาร่วมกันตั้งขึ้นในเมืองไทย

เราสามารถตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้อย่างง่ายดายราวดีดนิ้ว

เหตุที่ไม่ได้ตั้ง เพราะเจตนาในขณะนั้นคือความสมานฉันท์ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ในขณะที่ “สติ” ยังตามไม่ทัน “จิต” ไม่รู้ว่าเขาพูดคำว่าสมานฉันท์แบบย้ำๆ ยานๆ เพื่อให้มีเวลาบรรจุกระสุนปืน หรือไม่ก็มีเวลาผสมยาพิษให้เต็มแก้ว

เรียนปริญญาตรีก็ใช้เวลาในราว ๔ ปี ปีแรกอาจไร้เดียงสา ทำตัวเหมือนอยู่ชั้นมัธยม ปีสองและปีสามแก่กล้าขึ้นบ้าง ทั้งในทางปัญญาและอารมณ์ จนถึงปีสี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนจบ ถึงขั้นจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ก็ถือว่าประเสริฐ ไม่มีอะไรสูญเปล่า

สามปีที่ผ่านมาคือช่วงเวลาบ่มเพาะทั้งความพร้อมเพรียงและความมั่นใจในตัวเองของขบวนการประชาธิปไตย เรารักกัน เราทะเลาะกัน เราเห็นด้วย เราเห็นแย้ง เราขาดความเชื่อมั่น เราเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ในที่สุดเราก็เดินมาถึงยุทธศาสตร์เดียวกัน

ถึงวันนี้ใครที่ถือยุทธศาสตร์คนละเล่มก็ถือว่าอยู่กันคนละสนามแล้ว ถ้าสามปียังคิดไม่ได้ ก็คงไม่ต้องคิด เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะเป็นไพร่และเป็นทาสต่อไปเหมือนนกติดยาในกรงเหล็กที่เขาขังไว้ขายคนชอบปล่อยนก

แต่เราจะไม่ยอมให้คนเหล่านั้นเข้ามาทำลายยุทธศาสตร์หลักของเราเป็นอันขาด

รัฐบาลพลัดถิ่นเป็นสิ่งที่ทำได้ และต้องทำเมื่อเกิดเงื่อนไขที่เหมาะสมในทางการเมือง
การยึดอำนาจรัฐประหารเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น

ตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งแปลว่าสังคมขาดความยุติธรรมอย่างร้ายแรง มนุษย์ทุกคนมิได้เสมอภาคกันตามกฎหมายอย่างที่เขาโฆษณาชวนเชื่อ ก็เป็นเหตุได้

การใช้ความรุนแรงกับมวลมหาประชาชนที่ใช้สิทธิ์ในการประท้วงอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ก็เป็นเหตุได้

การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง อย่างคำกล่าวของผู้บริหารองค์การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ หรือ Human Rights Watch ที่ว่า “...ถึงบางครั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึงสิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำของนายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม รัฐบาลชุดนี้ได้บั่นทอนการเคารพสิทธิมนุษยชนและนิติธรรมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง...” หรือ “...ประชาธิปไตยในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวได้ปกคลุมสังคมอินเตอร์เน็ต เนื่องจากการที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เพิ่มระดับการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น...”

สภาพความพิการล่าสุดของเมืองไทยภายใต้อำมาตย์อย่างนี้ ก็เป็นเหตุได้

รัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นสมบัติสาธารณะและเป็นกลไกของเราในฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ต้องไปฟังความเห็นของเหล่าขี้ข้าอำมาตย์ในรัฐบาลหรอกครับ เพราะเราไม่ได้ต้องพึ่งอะไรเขาในการจัดตั้ง

ถึงเวลาอันเหมาะสม เราตั้งได้แน่ครับ.

----------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)
----------------------------------------------------------------------------------

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 1 ระบอบอะไรก็ไม่รู้?


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 1 ระบอบอะไรก็ไม่รู้?
โดย กาหลิบ

------------------------------------------------------------------------------
เหตุต่างๆ ที่ยกขึ้นมาด่าประณามกันนั้น ส่วนใหญ่ก็เลือกขึ้นมาจากความคิดเห็นที่ตัวเห็นด้วย ไม่ใช่จากข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ พูดง่ายๆ คือตั้งธงไว้ก่อน แล้วเลือก เหตุผลมาประกอบทีหลัง
------------------------------------------------------------------------------

ระบอบอะไรก็ไม่รู้?


หมู่นี้ผมออกจะเขินๆ เวลาเดินทางไปต่างประเทศ เพราะไปแล้วก็จะถูกรุมถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองไทยในขณะนี้

งานมีก็ต้องไปล่ะครับ จะเป็นเรื่องการณรงค์หาเสียงให้คุณสุรเกียรติ์เป็นเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งเป็นหน้าที่ราชการ หรือไปสอนไปบรรยายตามปกติของผมก็ตาม แต่พอใครวกเข้ามาเรื่องนี้ผมก็จะทำเท่ ยักไหล่ปรายตา ทำปากแบะๆ พองาม และบอกอย่างกร่างๆ ว่าประชาธิปไตยในระยะฟักตัวก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่าห่วงใยอะไรให้มากนักเลย

ไอ้คนที่ติดตามเหตุการณ์ใกล้ชิดหน่อยก็จะทำรู้ดี ย้อนว่าระยะฟักตัวอะไรกัน ประชาธิปไตยไทยมีมาตั้งแต่ปี .. ๒๔๗๕ นับมาถึงวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ก็ปาเข้าไป ๗๔ ปีแล้วนะ

ผมก็จะถือโอกาสเดินหนีไปเลย

จะยืนอยู่ตรงนั้นยังไงกันล่ะครับ ในเมื่อผมตอบเขาไม่ได้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น

รัฐบาลประกอบขึ้นด้วยพรรคที่มีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาผู้แทนราษฎร มากกว่าเสียงของรัฐบาลประชาธิปไตยทุกแห่งในย่านนี้ ยกเว้นสิงคโปร์ ที่มีฝ่ายค้านเป็นแค่ดอกไม้ประดับผนัง นายกรัฐมนตรีสัญญาอะไรไว้เยอะแยะก่อนจะเป็นรัฐบาล จนหลายคนปรามาสว่าเป็นราคาคุย ในที่สุดก็ลงมือทำทุกอย่างตามนั้น

บางอย่างทำได้ดี บางอย่างก็งั้นๆ ยังไม่ชัดว่าจะออกมาเป็นหมู่หรือจ่า แต่ก็ทำ

มีเลือกตั้งใหม่ ก็ส่งผู้สมัครลง พรรคการเมืองฝั่งตรงกันข้ามเกิดตัดสินใจคว่ำบาตร แสดงความรังเกียจรังงอนไม่ยอมลงเลือกตั้งด้วย ก็เดินหน้าต่อไป ประกาศเสียงดังว่าเพราะเชื่อในประชาธิปไตย

กำลังกลายเป็นผู้ร้าย เพราะคนที่เกลียดชังเขาทั้งพ่นทั้งป้ายสีอย่างเมามัน

คณะกรรมการการเลือกตั้งเหลืออยู่ คน เสียชีวิตไปหนึ่ง ลาออกไปหนึ่ง เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกับศาล จนศาลท่านสงเคราะห์ว่าเป็นความผิด ในที่สุดก็เผชิญกับชะตากรรมอย่างที่เมื่อแรกรับราชการนั้นไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาพบเจอ

ติดคุกเชิงสัญลักษณ์ไปหลายคืน

กองเชียร์ของแต่ละฝ่ายทนไม่ได้ ไปส่งเสียงอื้ออึงอยู่หน้าศาล จนเกิดเหตุผลักกันไปมาเล็กน้อย ขณะนี้กลายเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญประหนึ่งว่าได้พยายามทำลายอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการตุลาการนั่นเทียว

ทุกคนเลยกลัวศาลกันหัวหด ขนาดชูวิทย์ยังจ๋อย

และที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือปริมาณข่าวลือและข่าวร้ายต่างๆ ในทางการเมือง มันล้นมันหลั่งท่วมตาท่วมหู ปรากฏอยู่ในสื่อทุกประเภทตั้งแต่โทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และโดยเฉพาะอินเตอร์เน็ต จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว

ความไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนี่ล่ะครับที่กำลังผลักการเมืองให้เดินไปข้างหน้า แต่ทิศทางใดก็ไม่รู้

เหมือนคนปิดตาเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ เพราะมีอะไรดุนหลังมา ลืมตามมาอีกทีอาจจะยืนอยู่บนปากเหวลึก อาจจะถอยไม่ทันเสียแล้วก็ได้

ใครคนหนึ่งพูดเข้าหูว่าเพราะวัฒนธรรมไทยตั้งอยู่บนฐานของความหมั่นไส้ และความหมั่นไส้มันไม่มีเหตุผลหรอก เหตุต่างๆ ที่ยกขึ้นมาด่าประณามกันนั้น ส่วนใหญ่ก็เลือกขึ้นมาจากความคิดเห็นที่ตัวเห็นด้วย ไม่ใช่จากข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ พูดง่ายๆ คือตั้งธงไว้ก่อนแล้วเลือกเหตุผลมาประกอบทีหลัง

มันก็รับกันดีทุกทีไป

เหมือนนอสตราดามุสที่คนฮือฮากันว่าแม่นเหลือกำลัง ทายฮิตเลอร์ออกมาเป็นฮิตเลอร์เกือบจะไม่มีผิดเพี้ยน ปรากฏว่าอาจจะเขียนขึ้นมาหลังเหตุการณ์แล้วทำทีว่าเขียนไว้ก่อน จนกลายเป็นคนพยากรณ์แม่น

เหมือนไปให้สัมภาษณ์โทรทัศน์อย่างผู้มีอำนาจ แล้วบังคับให้ถามตรงกับคำตอบที่เตรียมไว้ เพราะเดี๋ยวจะตอบไม่ถูก

เหมือนมีประจำเดือนแล้วจึงเลือกกระโปรงสีเข้มๆ เพื่อกันไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าชอบสีนั้นเป็นพิเศษ

ระบอบประชาธิปไตยที่เราท่านเคยรู้จักมันกลับข้างกันนะครับ เลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนพูดก่อนว่าต้องการอะไรแบบไหน แล้วใครจะเข้ามาว่าราชการบริหารบ้านเมืองอะไรก็จงเดินอยู่ในกรอบนั้น มากน้อยอย่างไรก็ตัดสินกันด้วยหลักประชาธิปไตย

ไม่ใช่สภาพการณ์ที่ถามแล้วไม่ได้คำตอบที่พึงใจอย่างนี้

ระบอบประชาธิปไตยพังแล้วหรือ? ไม่รู้

รัฐสภาไม่ต้องมีแล้วหรือ? ไม่แน่ใจ

รัฐบาลต้องมีหรือไม่ในบ้านเมืองนี้? ขอคิดดูก่อน

ก็เลยต้องถามตอนท้ายว่า นี่คือระบอบอะไร?

คำตอบทันควันคือไม่ตอบ

---------------------------------------------------------------------------------------------


วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ


โดย : กาหลิบ
สำนักพิมพ์โลกวันนี้

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ :


Nangfa มีโอกาสได้เปิดพ็อกเก็ตบุ๊คส์เล่มหนึ่ง ที่ตั้งชื่อได้สะดุดหูสะดุดตาประชาชีว่า “ยุทธการตอแหลแห่งชาติ” โดยผู้เขียนที่ใช้นามปากกาว่า “กาหลิบ”


หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือใหม่ในพ.ศ.นี้ เพราะสำนักพิมพ์ “โลกวันนี้” ได้ตีพิมพ์ออกวางตลาดครั้งแรก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2550 แต่เมื่อนำมาพลิกอ่านอีกครั้ง ก็มีความรู้สึกว่าแต่ละเรื่องแต่ละตอนยังกับเป็นเหตุการณ์ร่วมสมัย


Nangfa จึงคิดอยากขอนำบทความแต่ละตอนมานำเสนอไว้ในบล็อก เพื่อให้ท่านที่ยังไม่เคยได้อ่าน หรืออาจจะเคยอ่านแล้ว กลับมาอ่านซ้ำกันอีกครั้ง เพื่อระลึกถึงความทรงจำเก่าๆ เมื่อครั้งก่อนรัฐประหารและหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรืออาจจะเป็นอุทาหรณ์ ว่าวันนี้เราจะลุกขึ้นต่อสู้กับพวกอำมาตย์อย่างไรกันดี เพื่อไม่ให้เหตุการณ์หวนกลับไปซ้าเดิมอีกครั้ง .... "รัฐประหาร!”


Nangfa ไม่ทราบหรอกว่า “กาหลิบ” คือใคร? แต่อยากจะขออนุญาตไว้ ณ ที่นี้ด้วยเลย ว่าขอนำบทความขอท่านมาลงบล็อกนี้ ให้บรรดาพี่น้องผู้เรียกร้องต้องการประชาธิปไตยได้อ่านกัน วันละตอนสองตอน เป็นซีรีส์ต่อเนื่องไปจนกว่าจะหมดเล่ม หวังว่าท่านคงไม่ขัดข้อง ขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้


และที่ขาดไม่ได้ต้องขอขอบคุณ “หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน” ด้วย ที่กลั้นใจเสนอ หนังสือเล่มนี้ ให้พวกเราได้อ่านกัน ขอบคุณมากๆ ค่ะ


***************************************************************************


บทนำ :


ตอแหล: หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้นฐานของไทยทั้งในระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และตามอัธยาศัย


หนังสือเล่มนี้เกิดเมื่อผู้เขียนมองลอดหน้าต่างการเมืองไทย และนำสิ่งที่เห็นไปเขียนเป็นบทความแบบวันต่อวันสำหรับท่านผู้อ่านของโลกวันนี้พอได้เนื้อมามากพอก็จับรวมเล่มให้เป็นปึกเป็นแผ่น

ฉากหลังการเมือง (political backdrop) ของเล่มนี้อยู่ระหว่างวันจันทร์ที่ สิงหาคม ..๒๕๔๙ ถึงวันจันทร์ที่ มกราคม ..๒๕๕๐ เริ่มจากความพยายามโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ ... ทักษิณ ชินวัตร ด้วยวิธีรวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยของขบวนการตอแหลแห่งชาติ ก่อหวอตและเริ่มต้นโหมกำลังของสิ่งที่เรียกตัวเองว่าพันธมิตรแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ยั่วให้เกิดการปะทะทางความคิดและกำลังในสถานการณ์ปกติเพื่อกู้ชาติที่ไม่ได้ล่ม พยายามลอบสังหารนายกรัฐมนตรีและคนทั้งหลายอีกนับร้อย ไปจนถึงการชิงธงรัฐประหารในวันอังคารที่ ๑๙ .. ๒๕๔๙ อย่างขาดๆ เกินๆ ถ้าท่านจะมองหนังสือเล่มนี้ในฐานะอนุทินเล่มหนึ่งของเมืองไทยที่บันทึกโดยคนธรรมดา ผู้เขียนก็เชื่อว่าคงไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องมากนัก มีประเด็นพร้อมข้อมูลที่ต่อเนื่องไปตามเหตุการณ์ พอจะใช้เตือนความทรงจำได้บ้าง ส่วนอยากจะลืมขนาดไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ศัพทานุกรมของคุณเรืองยศ จันทรคีรี โดยเฉพาะคำว่าตอแหลมีอิทธิพลมากต่อผู้เขียน เพราะเป็นคำจำกัดความที่ช่วยอธิบายถึงสิ่งที่ขาดหายไปจากบริบทการเมืองในห้วงเวลานั้นได้มาก ตอแหลเป็นเหตุและผลในตัวเอง ทำให้ข่าวลือและเสียงซุบซิบนินทามีความสำคัญขนาดหนัก และลดน้ำหนักของระบบเหตุผลลงไป ความจริงส่วนหนึ่ง เท็จส่วนหนึ่ง และบิดเบือนไปตามชอบใจซึ่งเป็นความหมายของ "ตอแหล" นั้นเอง ได้กลายเป็นภาวะหลักทั่วไปในพระราชอาณาจักร ในที่สุดรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึงสองครั้งก็ถูกโค่นล้มด้วยความตอแหลที่มียุทธศาสตร์ และมีความเป็นระดับชาติเพราะคนระดับชาติมาเชื่อมโยงกันหมด โดยมีความริษยาเป็นพื้น

การเขียนก็ไม่มีลีลาอะไรมาก มีความรังเกียจแนวคิดเผด็จการและประชาธิปไตยครึ่งใบเป็นแรงขับดัน บวกความอดทนที่น้อยลงทุกทีกับมายาเมืองไทยที่หลอกล่อกันเหมือนการแข่งขันกีฬาสี และเห็นว่าการรัฐประหารจะโดยความสนับสนุนจากใครก็ตาม ถือเป็นสิ่งที่ผิดและเป็นความสิ้นคิดของคนในระดับชาติทั้งนั้น

หนังสือเล่มนี้คลอดจากมดลูกที่ช้ำระบม ความขาดแคลนประชาธิปไตยและเสรีภาพตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนทำให้ร่างกายของประเทศไทยขาดความสมบูรณ์และเต็มไปด้วยพยาธิสภาพ แต่ก็พยายามเขียนอย่างเป็นกลางที่สุด เท่าที่คนที่สูญเสียความเป็นกลางไปแล้วเพราะการรัฐประหารจะทำได้

ความสำเร็จของเล่มนี้ต้องยกให้กับทีมงานโลกวันนี้ที่ริเริ่ม เร่งรัด สานต่อ ปรับปรุงอย่างมืออาชีพที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งผมขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังต้องขอแสดงความคารวะมายังพี่ที่เคารพทุกคนใน "กลุ่มเสวนา" ของเรา ที่กรุณาขัดเกลาแนวคิดหยาบๆ ของผู้เขียนให้มีความหมายขึ้นบ้าง โดยไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ตอบแทนเลย เว้นแต่ความรักในระบอบประชาธิปไตยและความเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

ผู้เขียนเรื่องนี้ไม่มีอะไรจะขอโทษขอโพยหรือออกตัวสำหรับท่านที่อ่านแล้วไม่ถูกใจ ส่วนท่านที่อ่านแล้วเห็นด้วยบ้าง โปรดอย่าปล่อยให้ตัวอักษรมันถูกขังอยู่เพียงในเล่มนี้ ถ้าจะช่วยนำออกไปต่อไฟเพื่อให้บ้านเมืองสว่างไสวขึ้นบ้าง ก็จะเป็นพระคุณยิ่ง จุดไปจุดมา ไปเจอต้นเหตุของปัญหาบ้านเมืองในเวลานี้ที่ตรงไหน จะถือโอกาสจุดไฟฌาปนกิจไปเลยก็ไม่ว่ากัน อาจจะรู้สึกคุ้มค่าที่อุตส่าห์มีไฟทั้งที

ไฟไม่คู่ควรกับการรัฐประหารหรอกนะครับ แต่สำหรับการปฏิวัติใหญ่ที่ใกล้จะมาถึงนั้นไม่แน่


ขอศาสนธรรมจงคุ้มครองท่าน

กาหลิบ

******************************************************

ประวัติผู้เขียน :

กาหลิบ

เทือกเถาเหล่ากอมาจากโคราช แต่มาเกิดและเติบโตในกรุงเทพพระมหานครในปี ..๒๕๑๐ เป็นต้นมา พ่อเป็นทหารแต่ไม่ชอบบังคับใจใคร แม่เป็นลูกทหารแต่มีหัวใจเสรีและไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ทั้งปวง เป็นผลผลิตจากพ่อที่เป็นลูกคนจนแต่กลายเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำให้ตัวเองได้ศึกษาเล่าเรียนตามกำลังปัญญา และใช้ปัญญาอันจำกัดทำมาหากินอยู่จนถึงปัจจุบัน พ่อแม่สอนให้ชิงชังระบบอุปถัมภ์และรู้จักเอาตัวรอดอย่างมีคุณธรรมในระบบประสิทธิภาพ

เชื่อมาตลอดว่าประชาธิปไตยงอกขา งอกปีก และลงหลักปักฐานแล้วในเมืองไทย เมื่อเกิดการรัฐประหารในวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ..๒๕๔๙ จึงเกิดอาการซึมเศร้า พอหายเศร้าแล้วก็คิดสู้ พอสู้แล้วก็เลยได้รู้ว่าอารยธรรมไทยทั้งปวงเปรียบประดุจปราสาททราย ก็เลยตั้งใจว่าจะทำหน้าที่เป็นวิศวกรทางสังคม และเริ่มต้นก่อสร้างประชาธิปไตยเมืองไทยตั้งแต่ลงเสาเข็มไปเลยทีเดียว จะเสร็จเมื่อไหร่ จะเสร็จหรือไม่ และจะต้องสูญเสียอะไรบ้างคงไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ปรัชญาชีวิต: กระโดดลงเหวก่อน แล้วงอกปีกตามไปให้ทัน (เรย์ แบรดบิวรี่ นักเขียนอเมริกัน)

**************************************************

ติดตามตอนที่ 1 พรุ่งนี้ค่ะ (พุธที่ 27 มกราคม 2553)